ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

       หญิงสาวคนนั้นจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง รูปร่างดี หน้าตาก็น่ามอง รอยยิ้มก็น่าชม อายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปี ที่สำคัญอีกอย่า่งหนึ่งเธอยังเหมือนเป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญคนหนึ่ง เธอใส่บาตรเป็นประจำ ไม่เลือกว่าจะเป็นพระภิกษุหรือสามเณร เธอเตรียมอาหารไว้วันละประมาณห้าชุด หมดแล้วก็เลิก หากเธอยู่ตามท้องไร่ท้องนาคงมีชายหมายปองจำนวนไม่น้อย แต่ที่เธอเลือกอยู่ เลือกทำงานกลับเป็นงานตอนกลางคืน เลิกงานแล้วก็มาตักบาต จากนั้นก็เป็นเวลานอน พอตะวันลับฟ้าก็ไปทำงาน 
      คงพอจะนึกออกว่าเธอทำงานอะไร วันหนึ่งด้วยความรีบเร่งได้ยินเธอร้องเรียกว่า “หลวงพี่นิมนต์ก่อน” พอหันกลับไปเสื้อผ้าที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยหลุดอย่างกะทันหัน พอรับบาตรเสร็จเธอบอกว่า “ขออภัยอย่างยิ่ง ไม่ได้ตั้งใจจะยั่วยวนอันใด แต่เพราะกำลังป่วย กิริยาอาการจึงช้าลง ขอให้หลวงพี่ให้อภัยด้วย”
       หลวงพี่กำลังหนุ่ม บวชยังไม่นานนัก อารมณ์แห่งความความต้องการตามธรรมชาติยังไม่มอดดับ ทำให้จิตฟุ้งซ่าน แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว แต่ภาพของหญิงสาวคนนั้นยังคอยรบกวนอยู่หลายวัน แม้จะยังคงเดินบิณฑบาตตามถนนสายนั้นอยู่ประจำ แต่ก็ไม่เคยได้เห็นหน้าหญิงส่าวคนนั้นอีกเลย ความคิดยิ่งกระจาย เสื้อผ้าเธอหลุดเพราะความประมาทจริงๆหรือว่าเธอแกล้งทำ ใจของหลวงพี่คิดไปเรื่อย แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบที่ชัดเจนสักครั้ง แต่ความคิดมันยังคงวนเวียนอยู่ในใจ แม้จะพยายามข่ม พยายามสลัดออก ก็ยังไม่พ้นสักที ครั้นจะลาสิกขาไป ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกไปทำมาหากินอะไร
       วัดที่หลวงพี่จำพรรษาเป็นสายวัดป่า มีการเจริญจิตภาวนาทุกเย็น หลังทำวัตรสวดมนต์จบหลวงพ่อจะสอนกรรมฐานและให้นั่งสมาธิภาวนาเป้นประจำ หลวงพี่เน้นภาวนาที่อสุภกรรมฐานพิจารณาอัตภาพร่างกายให้มองเห็นเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสิ่งไม่สวยงาม แต่ภาพของหญิงสาวคนนั้นยังคงวนเวียนเข้ามาในภวังคจิต ไม่ยอมจางหายไปไหน 
       เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน วันหนึ่งเดินผ่านบ้านเช่าหลังนั้น บ้านที่หญิงสาวคนนั้นพักพาอาศัยอยู่ เด็กหนุมคนหนึ่งออกมาใส่บาตรและนิมนต์ว่า “หญิงสาวคนนั้นต้องการนิมนต์หลวงพี่เข้าไปในบ้าน เธอกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตายแล้ว อยากพบพระเป็นครั้งสุดท้าย” 
       คิดดูแล้วมีผู้ชายอยู่ด้วยหลายคนคงไม่มีอะไรเสียหาย จึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านนั้นในเวลาเช้าเวลาออกบิณฑบาต พอเห็นสภาพของหญิงสาวคนนั้นก็ต้องชงัก ร่างกายเธอผ่ายผอม ผิวที่เคยงามกลายเป็นสีที่เกือบดำ ดวงตาขุ่นมัว นอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอพยายามยกมือไหว้ และเอ่ยปากเบาๆว่า “ต้องรบกวนหลวงพี่จริงๆ ออกไปใส่บาตรไม่ไหวแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน หลวงพี่ช่วยบอกทางไปในโลกหน้าให้โยมด้วย”
       เหตุการณ์พลิกผัน ก่อนจะเข้าบ้านนั้นยังคิดว่าเธอคงป่วยไม่มาก แค่อยากได้กำลังใจ แต่สิ่งที่พบเห็นในช่วงเวลานั้น เธออยู่ในขั้นของคนที่ใกล้ปากแห่งความตายจริงๆ 
       เด็กหนุ่มหญิงสาวอีกหลายต่างนั่งรายล้อมด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้า เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกว่า “เธอทำงานที่บาร์มาหลายปีแล้ว เก็บเงินส่งไปให้พ่อแม่ได้หลายตังค์อยู่ เธอบอกว่าอีกปีเดียวก็จะกลับไปทำนาที่บ้านเกิด จึงเร่งหาเงินเพื่อจะได้นำไปใช้ที่บ้าน แต่เธอก็มาป่วยด้วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย พวกผมเรียกโรคนี้ว่า “โรคดำลง” ครับ เป็นแล้วรักษาไม่หาย 
       เธอพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยจึงได้แค่ขยับกาย แต่ยังพอจะพูดได้ เธอบอกว่า “หลวงพี่อย่าประณามโยมเลย มันเป็นโชคชะตา เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง ฉันเฝ้าคิดแต่จะหาเงินให้ได้มากที่สุด คิดว่าเงินคือคำตอบทุกอย่างของชีวิต เมื่อมีเงินจะได้อยู่สบาย แต่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง จึงรู้ว่าคิดผิด ร่างกายและการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้นานที่สุดต่างหากที่สำคัญ เงินแม้จะมีมาก แต่เมื่อไม่ได้อยู่ใช้เงินแล้ว มันจะมีประโยชน์อันใด หลวงพี่ช่วยบอกทางไปในโลกหน้าให้โยมด้วย เพราะคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
 
       ช่วงนั้นคิดไม่ออก บอกไม่ถูกจริงๆ ว่าจะพูดเรื่องอะไร หัวข้อธรรมพลันคิดไม่ออก จึงบอกว่า “เธอได้พยายามทำบุญด้วยการให้ทาน ใส่บาตรพระภิกษุสามเณรมานาน คิดถึงบุญที่เธอทำ บุญนั้นจะนำพาเธอไปในที่ดี ทำใจให้สงบและยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า นึกถึงบุญที่เคยทำไว้” พอพูดจบเห็นรอยยิ้มที่มทุมปากของเธอก็ยังมีความสวยงามเหลืออยู่บ้าง ก่อนจะกลับวัดก็ได้แต่สั่งว่า “หากมีอะไรให้ช่วย ก็ให้ใครสักคนไปส่งข่าวก็แล้วกัน”
       สองวันต่อมาก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่วัดและบอกว่านิมนต์หลวงพี่ไปบังสุกุลและเผาศพหญิงสาวคนนั้นด้วยครับ เธอเสียชีวิตแล้ว 
       ในงานฌาปนกิจที่เรียง่ายที่สุดเท่าที่เคยพบมา ตายวันนั้นเผาวันนั้น ไม่ต้องตั้งศพสวดอภิธรรม ใช้เพียงถุงดำเพียงไม่กี่ถุงห่อหุ้มร่างไร้วิญญาณไว้ มีพระรูปเดียวไปร่วมพิธีศพ บังสุกุลเสร็จก็ส่งร่างเข้าเตาเผา เป็นอันเสร็จพิธี
       ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน ดังที่แสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/108) ความว่า “คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า” 
       หญิงสาวคนนั้นแม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปแล้ว เธอยังได้ฝากธรรมไว้สอนใจหลวงพี่ไว้ด้วย การปรุงแต่งด้วยความงาม แม้จะทำให้จิตใจเพลิดเพลินในบางครั้ง แต่ก็สามารถเผาผลาญจิตวิญญาณให้มอดไหม้ไปได้ด้วย หลวงพี่ยังได้กลายเป็นผู้บังสุกุลในงานศพของหนุ่มสาวที่พักอยู่ในร่วมชายคาเดียวกับหญิงสาวคนนั้นอีกหลาย ทุกคนเสียชีวิตด้วยดรคเดียวกัน โรคที่รักษาไม่หาย
       เหตุการณ์นั้นผ่านมานานหลายปีแล้ว หลวงพี่ปัจจุบันก็กลายเป็นหลวงตา ยังคงครองชีวิตอยู่ในสมณเพศ ยังดำเนินชีวิตตามปรกติ ไม่รวย ไม่จน มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ คิดถึงหญิงสาวบทสนทนากับหญิงสาวคนนั้นที่เธอบอกว่า “ฉันเฝ้าคิดแต่จะหาเงินให้ได้มากที่สุด คิดว่าเงินคือคำตอบทุกอย่างของชีวิต เมื่อมีเงินจะได้อยู่สบาย แต่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง จึงรู้ว่าร่างกายและการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้นานที่สุดต่างหากที่สำคัญที่สุด เงินนั้นแม้จะมีมาก แต่เมื่อไม่ได้อยู่ใช้เงินแล้ว เงินจะมีประโยชน์อันใด”
 
 
พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
15/03/21
 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก