มนุษย์มีเส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้จะได้การเกิดที่เหมือนกันคือมาตัวเปล่า ไม่มีสมบัติอันใดติดตัวมาเลย ช่วงที่ยังมีชีวิตต่างก็ขวานขวายในการทำงาน ประกอบอาชีพเพื่อการดำเนินชีวิต บางคนเลือกอาชีพที่ตนชอบตนถนัด แต่บางคนก็ต้องทำงานในอาชีพที่ตนไม่ถนัด แต่ก็ต้องทำ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป จะบอกว่าไม่ชอบแล้วไม่ทำ จะทำเฉพาะในสิ่งที่ชอบก็คงอยู่ในโลกนี้ลำบาก เมื่อกำลังจะสิ้นใจสิ่งสุดท้ายที่เขาคาดหวังคืออะไร ต้องไปถามคนที่กำลังจะตายว่าเขาอยากทำอะไรก่อนตาย
ใครคนหนึ่งเคยบอกว่าอย่าปรึกษาเรื่องความตายกับคนสองกลุ่มคือแพทย์และพระ เพราะคนสองกลุ่มนั้นจะมีมุมมองเรื่องความตายจากหลักวิชา พบเห็นคนตายมามาก จึงอธิบายตามหลักวิชา ไม่ใช่อธิบายหรือคำตอบจากประสบการณ์จริง แล้วการมีประสบการณ์จากความตายจริงๆเป็นอย่างไรกันเล่าแม้จะมองว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตก็ตามทีเถิด แต่ก็ไม่มีใครอยากจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความตายจริงๆ เราเพียงแต่คิด ซึ่งก็คือความน่าจะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ
ในช่วงแห่งชีวิตได้ใกล้ชิดกับคนที่ใกล้จะตายอย่าจริงจังหลายครั้ง คนแรกที่จำได้เป็นนักโทษที่ถูกจองจำในเรือนจำมานานหลายปี เขาป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย วันหนึ่งได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมในเรือนจำให้กับเหล่านักโทษทั้งหลายฟังซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติ เข้าไปเดือนละครั้งทำอยู่มานานหลายปี แต่ครั้งนั้นได้รับการร้องขอจากนักโทษคนหนึ่งที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เขาบอกอยากพบพระเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าหน้าที่บอกว่าท่านจะไปหรือไม่ไปก็ได้
จึงตัดสินใจไปพบว่าเขาอยากพูดอะไร ทำไมจึงอยากพบ เป็นคนที่เคยรู้จักมาก่อนหรืออย่างไร เขาถูกขังรวมกับนักโทษที่นอนเบียดกันจำนวนมาก เขานอนนิ่งทำกิริยาอาการเหมือนกำลังจะยกมือไหว้ เขาบอกว่า ผมกลัวความตายมาก แต่ผมรู้ตัวว่าผมกำลังจะจายคงอยู่ได้อีกไม่นาน จะมีวิธีการอย่างไรทำให้ตายอย่างไม่ต้องกลัว
เมื่อนั่งลงนักโทษคนนั้นยื่นมือมาขอสัมผัสมือและบอกว่า “ให้ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น ทุกเรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะกลับไปแก้ไขอะไรก็คงทำไม่ได้ ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก สั้นก็รู้ว่าสั้น ยาวก็รู้ว่ายาว มนุษย์ทุกคนจะยากดีมีจนอย่างไร วันหนึ่งก็จะต้องพบกับสิ่งที่เธอกำลังประสบอยู่นี่แหละ
เขาหลับตาสักพักก่อนจะบอกว่า “ในจิตใจผมเหมือนกำลังถูกไฟเผาผลาญ มันร้อนไปทั้งตัว ทำให้ลืมลมหายใจทุกที ผมทำชั่วมามาก คนที่เคยถูกผมกระทำต่างก็มาจ้องหน้าผมเหมือนกำลังจะกินเลือดกินเนื้อ”
“จงแผ่เมตตาให้อโหสิกรรมกับทุกคนที่เคยทำกรรมร่วมกันมา ขอโทษ ขออภัย อย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย ผมฝากไปบอกลูกชายผมด้วยว่า อย่าได้ทำความผิด อย่าได้ความชั่วเลย มันจะตามหลอกหลอนคอยติดตามเหมือนเงาตามตัว สลัดไม่หลุด หยุดไม่ได้ ผลักใสไม่ออก” เหมือนเป็นคำสั่งสุดท้ายของคนที่กำลังจะตาย
จากนั้นจึงบอกว่ามาลองใหม่อีกที ให้นับลมหายใจเข้า-ออก เป็นหนึ่งครั้ง นับไปเรื่อยๆ อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ปรากฏ อยู่กับลมหายใจ นับไปเรื่อยๆ” เขาลืมตาขึ้นมองหน้าวูบหนึ่งจากนั้นก็หลับตา และไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลย จึงเดินออกจากห้องขังนั้น และกลับวัด ยังไม่ถึงกุฏิด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่มาส่งก็บอกว่า “นักโทษคนนั้นเสียชีวิตแล้วครับ” ก็ได้แต่แผ่เมตตา ขอให้เขาได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่มีโอกาสทำความดี
เรื่องของการกระทำไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว มันจะคอยติดตามตนไปเหมือนเงาตามตัว ดังที่มีแสดงไว้ในปิยสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/334/103) ความว่า “ผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือเป็นบุญและเป็นบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไป (สู่ปรโลก) อนึ่ง บุญและบาปนั้นย่อมเป็นของติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไปฉะนั้น”
ในช่วงที่ยังมีลมหายใน มีชีวิตอยู่ คนส่วนหนึ่งย่อมกระทำตามใจตนเอง ไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาในอนาคต ถ้าทำกรรมดี ใจก็เป็นสุข จะนึกคิดถึงเมื่อใดก็มีผลทำให้ใจสบาย จะจากไปก็ไม่เดือดร้อน เพราะหนทางในปรโลกได้เปิดไว้ให้เดินไปอย่างมีความสุข ส่วนผู้ที่กระกรรมชั่ว แม้จะพยายามคิดเข้าข้างตนเองอย่างไรก็ตาม เหตุและผลก็จะเกี่ยวโยงถึงกันจนได้ เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น กรรมนั้นก็ส่งผลทำให้ตนเดือนร้อน ทั้งในภพนี้และภพหน้า กรรมที่เราทำนั่นแลคือสมบัติของเราที่แท้จริง
ชีวิตเป็นของเราในช่วงขณะที่ยังอยู่ในโลก เราเลือกที่จะทำดีหรือชั่วก็ได้ แต่เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมที่เราทำไว้จะเป็นผู้กำหนดเส้นทางให้เรา แม้จะคิดได้ แต่ก็คงแก้ไขไม่ทันแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
14/03/64