คืนก่อนฝันเห็นพ่อซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ทว่าในความฝันเสมือนหนึ่งว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ รอยยิ้มของพ่อ คำพูดของพ่อยังชัดเจน พ่อยังถามคำถามเดิมว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบซะที ซึ่งคำถามนี้พ่อถามมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จบประถมต้นก็เข้าเรียนต่อชั้นประถมปลาย จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะหยุดเรียนมาช่วยพ่อและแม่ทำไร่ทำนา เดินตามเส้นทางของบรรพบุรุษ
แต่พ่อไม่ยอมให้หยุดบอกว่าให้เรียนไปเรื่อยๆเหนื่อยเมื่อไหร่จึงหยุด เนื่องจากเป็นคนที่จัดว่าเป็นคนเรียนดี พ่อเลยหาเงินส่งเรียนไปเรื่อยๆจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากนั้นก็สอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยครู แต่เนื่องจากมีผู้เข้าแข่งขันมากจึงสอบไม่ผ่าน และทำให้ไม่คิดอยากจะเรียนต่อที่ไหนอีก
พ่อสืบทอดอาชีพทำไร่ทำนามาจากปู่ย่าตายาย และยึดอาชีพเกษตรกรมาโดยตลอด เมื่อแต่งงานกับแม่ซึ่งมีอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกัน ชีวิตจึงดำเนินไปตามครรลองของคนทำนา แต่พ่อบอกว่าในบรรดาลูกของพ่อต้องมีใครสักคนที่ได้เรียนสูงๆ จะเรียนอะไรก็ได้จะได้มีความรู้อย่างน้อยที่สุดก็กลับมาสอนพ่อและแม่ได้ แต่ความหวังของพ่อยังไม่ได้สำเร็จ พ่อก็เสียชีวิตก่อน
ตอนที่พ่อเสียชีวิตผู้เขียนพึ่งเริ่มเรียนปริญญาเอก พ่อก็หวังว่าจะได้เห็นลูกชายเป็นดอกเตอร์ ซึ่งก็ยังมองหาอนาคตไม่พบว่าจะจบหรือไม่ ชีวิตช่วงนั้นลำบากมาก เงินค่าเทอมบางครั้งก็ไม่เพียงพอ บางครั้งก็ต้องกลับไปหยิบยืมจากแม่บ้าง พ่อก็ถามคำถามที่ไม่อยากตอบ “เมื่อไหร่จะเรียนจบ” ช่วงนั้นได้แต่ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก “คงอีกไม่นาน” แต่พ่อก็ไม่ได้มีลมหายใจอยู่จนลูกชายเรียนจบ พ่อไม่ได้เห็นความสำเร็จของลูกเลย
ถึงแม้ว่าพ่อจะเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ บวชเรียนอีกนิดหน่อย แต่ก็มีความรู้เพียงพอสำหรับการดำเนินชีวิตตามแบบของชาวบ้าน มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่พ่อก็อดทนทำงานหนักมาโดยตลอด พ่อพูดน้อยแต่ใจดี
มีอยู่ครั้งหนึ่งเท่าที่จำความได้ ช่วงนั้นพึ่งเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ช่วงปิดเทอมยังหาที่เรียนต่อไม่ได้ และไม่อยากเรียน จึงไปช่วยพ่อทำไร่ วันนั้นฟ้ากำลังจะมืดค่ำ ช่วงนั้นนอนเฝ้าไร่ไม่ได้กลับบ้าน มีควายอยู่สองสามตัว ตอนเย็นยูงมากต้องสุมไฟให้เกิดควันเพื่อไล่ยุง กำลังรับประทานอาหารเย็น ก็มีชายสามคนเดินเข้ามาท่าทางไม่น่าไว้วางใจ พ่อก็เอ่ยชวนไปตามธรรมเนียมว่า “ไปไหนมา มากินข้าวด้วยกันก่อน”
ชายสามคนก็ไม่รีรอเดินขึ้นห้างนาในบัดดล และไม่ได้เกรงใจเจ้าของไร่เลยลงมือรับประทานโดยไม่พูดอะไรเหมือนกับกำลังหิวโหยมาหลายวัน
พ่อบอกว่า “วันนี้มืดค่ำแล้ว หากไม่รีบร้อนก็นอนพักที่นี่เลยก็ได้ พรุ่งฟ้าสางค่อยเดินทาง”
ชายสามคนหันไปมองหน้ากันเหมือนกำลังปรึกษา ในที่สุดก็ตกลงนอนพักที่ห้างนา เนื่องจากมีมุ้งสองอัน ชายสามคนก็นอนเบียดกันหลับสนิทตลอดคืน ส่วนผู้เขียนก็นอนมุ้งเดียวกับพ่อจนฟ้าสาง
ฟ้าสว่างแล้วพ่อก็บอกว่า “ถ้าไม่รีบก็ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อน เช้านี้ได้ปลามาหลายตัว ชายสามคนปรึกษากันอย่างหนัก และเริ่มมีเสียงดังมากขึ้น มีตอนหนึ่งชายคนหนึ่งหันมาถามว่าพ่อว่า “ได้ข่าวว่าลุงขายควายได้เงินมาหลายพันหรือ” พ่อก็ตอบตามความเป็นจริงว่า “ใช่ขายไปหนึ่งตัวได้เงินมาหลายพันบาท แต่ใช้หนี้เขาไปส่วนหนึ่งแล้ว เหลืออยู่บ้างตั้งใจว่าจะให้ไอ้หนูมันไปซื้อหนังสือเรียน ใกล้เปิดเทอมแล้ว ที่จริงไม่อยากขายดอก แต่ไม่อยากเป็นหนี้เลยต้องจำใจขาย”
ชายสามคนยกมือไหว้และบอกลา ออกเดินทางต่อไปโดยไม่ได้บอกจุดหมายปลายทาง จู่ๆชายคนหนึ่งก็วิ่งย้อนกลับมา ยกมือไหว้พ่อพร้อมทั้งส่งเงินให้จำนวนหนึ่ง “ผมขอร่วมทำความดีบ้าง เงินส่วนนี้ช่วยไอ้หนูมันซื้อหนังสือเรียนด้วย” พ่อก็รับไว้ทั้งๆที่เต็มไปด้วยความงงงวย
ชายคนนั้นบอกว่าผมก็มีลูกแต่ไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนสูงๆ ก่อนจะหันมายิ้มและบอกว่า “ไอ้หนูเองตั้งใจเรียนนะเรียนให้สูงๆเลย จะได้สบาย” จากนั้นก็เดินจากไป
ผู้เขียนมีโอกาสเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพราะเงินขายควายของพ่อและเงินของชายนิรนามคนนั้น ซึ่งมีจำนวนพอซื้อควายตัวใหม่ได้หนึ่งตัว
พ่อเล่าให้ฟังภายหลังว่าชายสามคนนั้นเป็นโจรตั้งใจจะมาปล้นเงินที่พ่อขายควายได้ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ โจรเหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจ นอกจากจะไม่ปล้นแล้วยังให้เงินส่งให้เด็กชายคนหนึ่งได้เรียนหนังสือต่อ เด็กชายคนนั้นปัจจุบันเรียนจบปริญญาเอก เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่พ่อไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของลูกชาย
มาย้อนคิดถึงช่วงเวลานั้นแม้จะผ่านมานานแล้ว สาเหตุคงมาจากการปฏิสันถารของพ่อที่เรียกชายสามนั้นรับประทานอาหารและให้ที่พักพิง ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่ได้หวาดระแวงอันใด ให้เพราะอยากช่วยเหลือคนที่กำลังหิว จนกระทั่งแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นโจรยังเปลี่ยนใจ
ในประวัติศาสตร์มีวีรกรรมของกษัตริย์พระองค์หนึ่งในอินเดีย ที่รบแพ้จนต้องหลบหนีเข้าป่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งให้การต้อนรับ หาอาหารให้ หาที่พักให้ โดยที่ท่านก็ไม่รู้ว่าชายคนนั้นคือกษัตริย์ที่พึ่งแตกทัพมา การต้อนรับด้วยการปฏิสันถารจึงเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมอย่างหนึ่ง ดังที่แสดงไว้ในอปริหานิยสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต (22/303) ความว่า “ภิกษุผู้เคารพในพระศาสดา เคารพในพระธรรม เคารพอย่างแรงกล้าในพระสงฆ์ เคารพในความไม่ประมาท เคารพในปฏิสันถาร ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อม ย่อมมี ณ ที่ใกล้นิพพานทีเดียว” คำสอนนี้แม้จะสอนภิกษุ แต่ก็สามารถใช้ได้กับชนทุกเหล่า
ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้เห็นชายสามคนนั้นอีกเลย แต่จากวันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีโจรคนใดคิดจะมาปล้นพ่ออีก แม้ว่าพ่อจะนอนเฝ้าไร่คนเดียวก็ตาม แม้ว่าความฝันเมื่อคืนจะไม่ได้ตอบคำถามของพ่อ แต่ดูจากสีหน้าและรอยยิ้มของพ่อแล้วพ่อคงเป็นผู้ที่มีความสุข
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
01/03/62