แดดยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างทั้งหกบาน ผู้ที่หลับใหลก็ต้องฟื้นตื่น เพราะแสงเข้าตา เนื่องวันก่อนเดินลุยฝนเลยเกิดอาการเหมือนไข้จะมาเยือน ก่อนนอนเลยหายาแก้แพ้และแก้ไขมาเยียวยาเพื่อไม่ให้อาการลุกลามต่อไป แม้ว่าเรื่องของโรคภัยจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะต้องพานพบหลีกหลบลี้หนีไม่พ้น แต่การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าปล่อยให้เป็นแล้วค่อยรักษา กันไว้ก่อนแก้ถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน
ฤทธิ์ของยาแก้แพ้และยาแก้ไข้ทำให้นอนหลับสนิท เผลอตัวเผลอใจจนกระทั่งแสงตะวันสาดส่องเข้ามาในยามเช้า วันนี้นอนตื่นสาย แต่ร่างกายทุเลาจากการป่วยไข้ มีแรงทำงานต่อได้จนถึงสุดสัปดาห์ปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนที่ข้าราชการที่มีอายุครบหกสิบปีได้มีโอกาสทำงานเป็นวันสุดท้าย ก่อนจะเกษียณอายุราชการได้พักผ่อน หลังจากที่ต้องตื่นแต่เช้ารีบไปทำงานตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่าอายุจะยังไม่ถึงหกสิบปี แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว เพื่อร่วมงานเกษียณไปหลายคนแล้ว แต่ก็ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ยังคงทำงานต่อไป คนในวัยใกล้เกษียณจะมีแนวคิดอย่างไรนั้นไม่อาจคาดเดาได้ วันก่อนมีโอกาสได้สนทนากับผู้ที่เกษียณอายุราชการ จึงเอ่ยถามว่า “รู้สึกอย่างไรกับการที่จะต้องได้หยุดพักเสียที”
ผู้ที่จะเกษียณปีนี้บอกว่า “รู้สึกวังเวงอย่างไรไม่รู้ ก่อนจะเกษียณสักสองสามปี คิดอยากให้วันเวลามาถึงเร็วๆจะได้พักผ่อน แต่พอเวลานั้นมาถึงจริงๆกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ที่จะไม่ได้ทำงานในหน้าที่อีกต่อไป คงต้องปรับสภาพทางกายและใจสักพักครับ”
“หากมีเวลาว่างก็แวะมาพบปะสนทนากันได้นะครับ ห้องทำงานเปิดไว้ต้อนรับตลอดเวลาครับ หรือหากมีโปรแกรมการท่องเที่ยวก็แจ้งมานะครับ”
“ตอนทำงานมีเงินแต่ไม่ค่อยมีเวลาแต่อยากเดินทางท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ผมมีเวลาว่างมากแต่ทำไมไม่อยากจะไปไหน ความคิดมันเดินสวนทางกันอย่างไรไม่ทราบ”
พอสนทนาถึงการเดินทางก็เริ่มหาที่ใหม่ๆที่อยากจะไป แต่ติดขัดด้วยเงื่อนไขของเวลา ช่วงนี้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก จึงต้องอยู่กับที่อยู่กับงานแบบเดิมๆความคุ้นชินแบบเดิมๆที่ไม่ค่อยมีความแปลกแตกต่าง ดูเหมือนช่วงชีวิตจะหยุดนิ่งอยู่กับความเคยชิน
วันเวลาของช่วงนี่ส่วนหนึ่งหมดไปกับการดูภาพเก่าๆที่เคยเดินทางไปในที่ต่างๆ ก็เกิดความคิดว่า นอกจากภาพถ่ายที่บันทึกความทรงจำแล้ว มีอะไรอีกในการเดินทาง บางแห่งไปมาแล้วหลายรอบแต่ก็ยังอยากจะไปอีก แต่บางแห่งไปครั้งเดียวก็เกินพอ
สิ่งที่ได้จากการเดินทางนอกจากได้พบสถานที่ที่ไม่เคยพบ ได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในวัฒนธรรมความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน บางแห่งบูชาเทพเจ้าเพื่อให้พลังแห่งเทพเหล่านั้นมาดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ขอให้มีโชคลาภ มีทรัพย์สมบัติ บางแห่งกราบไหว้สักการะสิ่งที่เชื่อกันว่ามีความพิเศษเช่นต้นไม้ ภูเขา ลำธาร เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตและครอบครัว บางแห่งไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการทำงาน ชีวิตรีบเร่งบางครั้งได้เห็นคนในชุดทำงานวิ่งเพื่อที่จะได้ไปทันขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่นักเดินทางส่วนหนึ่งกำลังถ่ายภาพอย่างสบายอารมณ์ คนทำงานกับนักเดินทางจึงมีอารมณ์ที่ต่างกัน ยกเว้นเมื่อนักเดินทางจะต้องรีบเร่งไปให้ทันขบวนรถไฟ จะกลายเป็นคนรีบเร่งอย่างเดียวกัน
มานั่งคิดว่าเราเคยเดินทางไปมาแล้วกี่ประเทศ ลองนับเล่นๆเกินยี่สิบประเทศ บางประเทศไปมาแล้วเกินสิบครั้ง สรุปว่าเราได้อะไรจากการเดินทาง คำตอบคือได้การใช้ชีวิต ไปใช้ชีวิตด้วยการเดินทาง แต่การใช้ชีวิตแบบนี้มีความสุขเพียงแค่ช่วงของการเดินทาง เป็นความสุขผสานกับความทุกข์ มิใช่สุขจริงๆ เพียงแต่เราคิดว่าสุขเท่านั้น จะเดินทางหรือไม่เดินทางชีวิตเหลือน้อยลงทุกวัน คาดหวังล่วงหน้าไม่ได้ว่าวันไหนจะหมดลมหายใจ จะมีโอกาสแก่หรือไม่ก็ตอบไม่ได้ ชีวิตเดินเข้าใกล้ปากแห่งมัจจุราชที่คอยอ้าปากคอยกลืนกินสรรพชีวิตทั้งหลาย ดังที่มีพุทธภาษิตในขุททกนิกาย ธรรมบท (25/20/28) ความว่า “นายโคบาลย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หากินด้วยท่อนไม้ฉันใด ความแก่และความตายย่อมต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไปฉันนั้น”
ก่อนที่ยาแก้ไข้จะออกฤทธิ์ พอดีเปิดมาพบภาพเก่าที่บันทึกไว้เมื่อต้นปีประมาณเดือนมีนาคม ตอนนั้นตั้งใจจะเดินทาไปดูพระพุทธรูปองค์ดำที่เมืองคยา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างในยุคสมัยเดียวกันกับพระพุทธรูปองค์ดำที่เมืองนาลันทา แต่พระพุทธปฏิมาองค์นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากนัก เมื่อมีเวลาจึงตัดสินใจเดินทางไปสักการะสักครั้ง
แต่ทว่าในการเดินทางในอินเดียนั้นคาดเดาอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเส้นทางบางช่วงเป็นเพียงทางเกวียนของชาวบ้าน ถนนบางแห่งไม่เหมาะสำหรับรถยนต์แต่มีไว้สำหรับรถม้าหรือเกวียนเทียมโคเท่านั้น วันนั้นไปไม่ถึง แต่กลับได้พบกับนักบวชฮินดูท่านหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายธรรมดาสามัญมาก แต่กลับมีผู้คนมาสักการะจำนวนมาก เมื่อแวะไปขอถ่ายภาพนักบวชก็ไม่พูดอะไร มีชายคนหนึ่งบอกว่า “นักบวชท่านนี้ไม่พูดมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่มีทราบเหตุผล ไม่มีใครรู้ที่มา แต่ท่านก็มาอยู่ที่นี่นานกว่ายี่สิบปี ไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลย เงินก็ไม่รับ รับไว้เพียงอาหารพอประทังชีวิตเท่านั้นวันละครั้ง หากอยากจะสื่อสารกับคนอื่นก็ใช้วิธีเขียนตัวอักษรเป็นการสื่อความหมายแทน”
เมื่อถามว่าทำไมชาวบ้านจึงศรัทธาเลื่อมใสนักบวชท่านนี้ เพราะท่านไม่ได้สอนอะไรเลย
ชายคนนั้นยกมือท่วมหัวก่อนจะบอกว่า “ที่ชาวบ้านศรัทธาเพราะท่านไม่พูดนี้แหละ ท่านสอนโดยการกระทำ ทำให้ดูอยู่ให้เห็น บางครั้งท่านนั่งสมาธินานสามวันสามคืน โดยไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรเลย แต่สีหน้าของท่านกลับผ่องใส ไม่มีทีท่าจะจะอิดโดรยให้เห็นเลย ท่านสอนทางในครับ ไม่ได้สอนทางนอก”
สิ่งที่ชายลูกศิษย์พูดแทนท่านนั้นถูกหรือผิดไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ฟังจากปากของตัวนักบวชเอง แต่ท่านนักบวชคงยอมรับเพราะได้โปรยยิ้มให้เหมือนจะยืนยันคำพูดของลูกศิษย์คนนั้น
นักบวชฮินดูท่านนั้นไม่มีวันเกษียณ ไม่มีการเดินทาง เขาอยู่กับความเป็นธรรมดา พอใจในการเป็นอยู่เลือกที่จะนิ่ง เลือกที่จะไม่พูด เพราะเขาปล่อยวางบางสิ่งได้แล้ว มีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับช่วงชีวิตแล้ว แต่มีหลายคนเลือกที่จะทำงาน เลือกที่จะเดินทาง การใช้ชีวิตเป็นเรื่องที่ทุกคนเลือกเอง พอใจกับสิ่งไหนก็เลือกทำสิ่งนั้น
ย้อนกลับมาสู่ความเป็นจริงในสภาวะแห่งปัจจุบัน เรากำลังป่วย กำลังดูบันทึกความทรงจำจากภาพถ่าย ชีวิตเราได้เลือกเส้นทางแห่งนักบวชมานานกว่าสามสิบปีแล้ว ในช่วงชีวิตที่เสียไปเราได้อะไรมา นอกจากความแก่ชราที่แม้ไม่อยากได้มาก็หนีไม่พ้น แล้วช่วงเวลาต่อไปในอนาคตจะเป็นเช่นใด ก็ยังตอบไม่ได้ ตอนนี้อยู่กับปัจจุบัน หยุดคิดถึงเรื่องอื่น เลิกมองไกลไปภายนอก แต่ย้อนกลับมามองที่ใจของตน รู้สึกสงบพอใจในความเป็นอยู่ จะอยู่หรือตายก็ปล่อยไปตามกรรม ในขณะที่ยังมีลมหายใจก็สู้กันต่อไป แม้ไม่ได้เดินทางไปไหนแต่การเดินทางภายในด้วยการสำรวจและพิจารณาจิตใจตนเองกลับรู้สึกได้ถึงความสุขความสงบซึ่งอยู่กับเรานี่เอง ไม่ไต้องเดินทางไกลไปค้นหาที่อื่น แต่ค้นหาได้ในจิตใจของเราเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/10/61