การเดินทางแม้เส้นทางจะยาวไกลแค่ไหน จุดสำคัญที่สุดอยู่ที่จุดเริ่มต้น หากไม่เริ่มต้นออกเดินทางก็ไม่มีทางที่จะไปถึงจุดหมายปลาได้ แต่การเริ่มต้นจะเริ่มจากที่ไหนอย่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน วัน เวลา โอกาส เสบียง ถึงแม้จะมีพร้อมแต่สุขภาพร่างกายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งอื่นใด เงินมี เวลามี แต่ร่างกายไม่พร้อมก็ยากที่จะได้เดินทาง
ตุ๋ยเพื่อนเก่าสมัยเรียนชั้นประถมต้นพายเรือทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ นึกภาพคุ้งน้ำที่เคยชินแล้ว คาดว่าคงอีกนาน และมีแนวโน้มว่าวันนี้อาจจะไปไม่ถึง “สวนเก่าของพ่อ” ตามมที่ตั้งใจไว้ ตะวันบ่ายแล้วแดดร้อนสะท้อนกับเรือกลางแม่น้ำเกิดเป็นเงาสะท้อนเหมือนกำลังเตือนให้ระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ
จึงบอกกับตุ๋ยว่า “วันนี้เรากลับก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ทางข้างหน้ายังอยู่อีกยาวไกล”
“ตามใจท่าน” สั้นๆและเข้าใจง่าย ไม่ทันขาดคำเรือก็วกกลับมาทางเดิม “ได้ข่าวว่าท่านเดินทางไปมาหลายประเทศ มีประเทศไหนบ้างที่ไปแล้ว ยังมีวิถีชีวิตตอยู่บนพื้นน้ำอย่างนี้บ้าง”
ตอนนั้น “ทะเลสาบอินเลแห่งเมียนมาร์กับโตนเลสาบแห่งกัมพูชา” ผุดขึ้นมาในห้วงแห่งจินตนาการ จึงบอกว่า “มีหลายที่แต่ที่พึ่งไปมาเมื่อปีที่ผ่านมาคือทะเลสาบอินเลเมืองตองยีเมียนมาร์”
“เล่าให้ผมฟังบ้าง ผมไปเมืองนอกอยู่ประเทศเดียวคือลาวเท่านั้นครับ บ้านใกล้เรือนเคียง”
ตุ๋ยพายเรือไปเรื่อยๆ เรื่องราวแห่งท้องน้ำก็ผุดขึ้นจากบันทึกในจินตนาการ”
ในช่วงหลายปีมานี้เดินทางไปหลายประเทศ ส่วนหนึ่งไปเพราะหน้าที่บางประเทศไปมาแล้วเกินสิบครั้ง แต่หน้าที่ที่จะต้องไปก็ต้องไป คนเราหากมีหน้าที่แล้วไม่ทำ จะมีชีวิตอยู่เพื่อกระไรกัน ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งเป็นทางที่เราเลือกเองไปเพราะอยากไป ไม่มีใครมาบังคับ การเดินทางประเภทหลังนี้มักจะได้พบกับสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ที่ไม่เคยได้พบมาก่อน เป็นความสุขส่วนตัว แม้ว่าบาวครั้งจะต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยล้า แต่เป็นความเหนื่อยที่แสนสุขของคนแรมทาง
สถานที่ที่เคยไปแล้วยังอยากไปอีกมีหลายแห่ง บางแห่งไม่ได้มีความพิเศษพิสดารอันใดเลย เป็นเพียงสถานที่ธรรมดาอย่างยิ่ง
อินเล ทะเลสาบน้ำจืดแห่งเมืองตองยีประเทศเมียนมาร์ คือสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากกลับไปเยือนอีกครั้ง
ตอนนั้นนัดกับเพื่อนไว้ที่มัณฑเลย์ บอกว่าอยากไปชมสะพานไม้อูเบ็ง ไปไหว้พระมหามัยมุนี จากนั้นก็เดินทางกลับ แต่แผนการเกิดความผิดพลาด เพื่อนบอกว่ามาแล้วก็ไปดูอีกสองที่อยู่ไม่ไกลกันนักคือพุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์กับทะเลสาบอินเล
พุกามทะเลแห่งเจดีย์น่าไป แต่ทะเลสาบอินเลนี่สิจะไปดูอะไร ไปดูน้ำ ไปดูคนพายเรือ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อเพื่อนแนะนำมาจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทางไปต่ออีกสักหน่อยยังพอมีเวลาอีกสองสามวัน บังเอิญว่าเครื่องเขาให้เปลี่ยนตั๋วเดินทางได้โดยมีค่าใช้จ่ายไม่มาก
ปฐมเหตุเป็นมาอย่างนี้ จากมัณฑเลย์นั่งรถยนต์โดยสารไปยังทะเลสาบอินเล รถโดยสารไม่ค่อยมีคนท้องถิ่น ส่วนหนึ่งเป็นฝรั่งต่างชาติ เพื่อนชาวเมียนมาร์บอกว่า “ราคารถมันแพง ชาวบ้านไม่ค่อยเดินทางกับรถประเภทนี้ดอก ส่วนมากจะไปรถธรรมดา ราคาต่างกันมาก”
รถโดยสารปรับอากาศชั้นหนึ่ง ราคาก็ไม่ได้แพงนักคิดเป็นเงินไทยราคาไม่ถึงหนึ่งพันบาท หากเทียบกับการเดินทางด้วยรถแท็กซี่ราคา 100 ดอลลาร์
การเดินทางแบบประหยัดไม่ต้องมีตารางเวลาที่เข้มงวดนัก หากพอใจใสถานที่ใดก็อาจจะอยู่นานเท่าใดก็ได้ มีเวลาถ่ายภาพบันทึกความทรงจำ มีความสุขสนุกกับการเดินทาง แม้บางครั้งจะอ้างว้างแต่ก็ได้รสชาติของคนแรมทาง ไปเหมือน “สันยาสี” ผู้ท่องเที่ยวตามใจตัวเอง นี่ความความหมายของคนแรมทางตามที่ตั้งใจไว้
ไปถึงทะเลสาบอินเลเวลาใกล้สว่าง ที่ท่ารถมีคนมาสอบถามว่าจะไปทะเลหรือไม่ บอกอัตราค่าเหมาเรือให้เสร็จสรรพ “วันหนึ่ง 15000 จ๊าด เดินท่างไปสถานที่สำคัญๆ หรืออยากจะไปไหนก็ได้ ตามใจคนเที่ยว” หลายคนบอกอย่างนั้น สอบถามราคาค่าเรือแล้วไม่ต่างกันเท่าใดนัก อาจจะมีเพิ่มบ้างนิดหน่อย
ทะเลสาบอินเล ข้อมูลจาวิกิพิเดียระบุว่า “เป็นทะเลสาบน้ำจืด ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ห่างจากเมืองตองยีประมาณ 25 กิโลเมตร ในประเทศพม่า เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาชาน เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสองของพม่ามีพื้นที่ประมาณ 44.9 ตารางไมล์ (116 ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,900 เมตร ในช่วงฤดูแล้งความลึกของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ฟุต โดยมีจุดที่ลึกที่สุดคือ 12 ฟุต แต่ในช่วงฤดูฝนสามารถเพิ่มขึ้นได้กว่า 5 ฟุต
แม้ว่าทะเลสาบจะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีสัตว์สายพันธุ์เฉพาะถิ่น หอยทากกว่า 20 สายพันธุ์ และปลาเก้าชนิดพบว่าไม่มีที่ไหนในโลก บางส่วนของสัตว์เฉพาะถิ่นเหล่านี้ เช่น ปลาซิวซอบวา ปลาซิวกาแล็คซี่ มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์เล็กน้อยสำหรับการค้าให้แก่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและมีนกนางนวลหัวสีน้ำตาลและสีดำอพยพกว่า 20,000 ตัวในเดือนพฤศจิกายน ธันวาคมและมกราคม
ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า ชาวอินทา (Intha) ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปีแล้ว โดยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทำการเกษตรบนเกาะวัชพืชที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกลางลำน้ำในทะเลสาบ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 ยูเนสโก ได้ได้ยอมรับให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลโลก
เสน่ห์ของทะเลสาบอินเลอยู่ที่วิถีชีวิตของชาวอินทาที่มีอาชีพหลักคือการหาปลา โดยใช้เท้าพายเรือ ทุกวันตอนเช้าจะเห็นเรือหาปลาเต็มท้องน้ำ แม้ว่าเรือหาปลาจะหันมาใช้เครื่องยนต์บ้างแล้ว แต่ก็ยังนิยมใช้เท้าพายเรือ เวลาที่พระอาทิตย์สาดส่องโผล่พ้นจากภูเขา แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำกับเรือหาปลาของชาวประมง นกนางนวลจำนวนนับไม่ถ้วนผกผินบินวนเพื่อหาอาหาร กลายเป็นภาพที่แปลกตาและงดงามอย่างยิ่ง บางครั้งความเป็นธรรมดาก็กลับกลายเป็นเสน่ห์ได้
อีกอย่างหนึ่งคือการทำไร่มะเขือเทศบนพื้นน้ำ ปลูกผักอีกนานาชนิด โดยการนำเอาเศษพืชที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์มาทำเป็นแพปลูกพืชผักได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนพืชเหล่านี้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ อหารการกินจึงอยู่ที่คำโบราณว่า “กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินปลาเป็นอาหาร” คนที่อินเลมีร่างกายที่แข็งแรงเพราะพายเรือมาตั้งแต่เด็ก
เรื่องเล่าขานแห่งทะเลสาบอินเล ยังมีอีกมากมายที่ยังเล่าไม่จบ แต่เพื่อนเก่าพายเรือกลับถึงแพปลาแล้ว เรื่องเล่าที่ยังไม่จบก็หมดเวลา หากเป็นนิยายตามนิตยสารสมัยก่อนต้องบอกว่า “โปรดติดตามฉบับหน้า” คนอ่านก็ต้องรอเวลาและเตรียมเงินไว้ซื้อฉบับต่อไป
การได้กลับมาบ้านเกิดที่จากไปนาน บ้านที่อยู่อาศัยสมัยเด็กเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน วิ่งเล่นบริเวณลานวัด กระโดดน้ำเล่นตามประสาเด็ก แต่วันนี้ภาพเก่าในอดีตเป็นเพียงความทรงจำ แต่กลับแจ่มชัด เด็กสมัยนั้นกลับมาในฐานะคนแรมทาง สิ่งที่เคยมีเคยเป็นล้วนเปลี่ยนเจ้าของไปหมดแล้ว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่จะเป็นของเราตลอดไป ที่เหลือไว้เป็นเสี้ยวหนึ่งแห่งความทรงจำของคนแรมทางคนหนึ่ง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
06/06/61