การได้กลับมาเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง บ้านเกิดที่ไม่ได้มีบ้านหลังเดิมเหลืออยู่แล้ว กลายเป็นบ้านของคนอื่น บ้านเก่าถูกรื้อถอน เหลือไว้เพียงพื้นดินเก่าที่เคยฝังรกเมื่อครั้งก่อกำเนิด ซึ่งจะหาสถานที่จริงๆคงไม่มีใครจำได้แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำคือภาพชายคาบ้านที่เคยอยู่อาศัยมานานกว่ายี่สิบปี แค่อีกสี่สิบปีให้หลัง ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลไปหมดแล้ว
ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นยังคงตระหง่านอยู่ที่ริมฝั่ง เคยจำได้ว่าไม้ต้นนี้ไม่ได้อยู่ติดฝั่งนั้นมันอยู่ห่างจาหฝั่งน่าจะประมาณห้าเมตร แต่ปัจจุบันกลับย้ายมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ คงมิใช่ต้นไม้ย้ายตัวเอง แต่เพราะตลิ่งถูกน้ำเซาะจนค่อยๆพังและกินพื้นที่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ โบราณว่าไม่มีอะไรอ่อนไปกว่าน้ำ แต่น้ำก็สามารถทำลายสิ่งที่แข็แกร่งกว่าได้ อ่อนโยนเหมือนน้ำแต่มีพลัง
ต้นไม้ที่เคยปีนขึ้นไปบนค่าคบและกระโดดลงมายังพื้นน้ำ สมัยนั้นสูงมาก แต่พวกเด็กๆไม่ได้กลัวต่อความสูงแต่ประการใดยังคงปีนขึ้นไปและกระโดดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆสมัยนั้นมีรายชื่อผุดขึ้นมาเหมือนภาพถ่ายแต่แจ่มชัด ยา สา ตุ๋ย อ้อ ทอง แก้ว สิทธิ์ โก้ ติ๋ม เซียน...เรามักจะเรียกชื่อเล่นมากกว่าที่จะเรียกชื่อจริง นานๆเข้าก็เอาชื่อพ่อมาเรียกแทน จนบางครั้งลืมไปว่าใครเป็นพ่อใคร บางครั้งอยู่ต่อหน้าพ่อก็เรียกชื่อพ่อแทนชื่อเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครโกรธใคร
เพื่อนเหล่านี้คงไม่มีใครพำนักอยู่ที่บ้านเกิดอีกแล้ว แต่ละคนได้แยกย้ายไปตามทางของแต่ละคน พอสืบข่าวได้บ้างบางคนเช่นยาย้ายไปอยู่กรุงเทพยึดอาชีพพ่อค้าขายส้มตำ ไก่ย่าง คงพออยู่พอกินบ้าง สา ย้ายไปอยู่เมืองเลยทำไร่ทำนา ตุ๋ยย้ายไปอยู่ปักษ์ใต้ อ้อย้ายไปอยู่ชัยภูมิ ทองไปอยู่เชียงราย แก้วไม่ทราบข่าว สิทธิ์ได้ข่าวว่าเป็นหมอลำ โก้เงียบหายไปเลย ติ๋มได้ข่าวว่าเสียชีวิตแล้ว เซียนคนนี้ก็ไม่ได้ข่าว
จะมีใครสักกี่คนที่ยังพอจะสืบค้นตามหาได้ในช่วงเวลานี้บ้าง หากเป็นช่วงเดือนเมษายน เป็นเทศกาลสงกรานต์คงพอจะได้พบปะพูดคุยกันบ้าง แต่ในช่วงเวลานี้จะมีใครสักคนที่เป็นเพื่อนเก่า ที่พอจะพูดคุยกันได้บ้างหนอ
กำลังคิดอะไรเพลินๆก็มีเรือพายลำหนึ่งล่องมาตามน้ำ ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพบันทึกความทรงจำไว้หน่อย เสียงจากเรือแว่วมาว่า “จะไปไหนครับ ผมจะไปส่ง” เหมือนเสียงคนคุ้นเคย แต่คิดไม่ออก
เรือจอดเทียบฝั่ง “เชิญขึ้นเรือครับ” คนแจวเรือบอกอย่างนั้น
กำลังคิอยู่ว่าจะข้ามไปฝั่งโน้นได้อย่างไร พอมีคนอาสาจึงไม่ได้ลังเลก้าวขึ้นเรือในบัดดล
หากจะไปฝั่งโน้นต้องไปที่สะพานนะครับ จึงจะมีถนน ถ้าขึ้นตรงนี้ เข้าชี้ไปที่อีกฝั่ง “เป็นสวนนะครับ เจ้าของเขาหวง ต้องล่องเรือไปอีกหน่อย”
“ไม่เสียเวลาหรือ ที่จะไปส่งตั้งไกลนะ” อาคันตุกะ เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ผมจะไปทางโน้นอยู่แล้ว แพผมอยู่ตรงโน้นพอดี จะแวะแพกินน้ำกินท่าก่อนก็ได้นะครับ”
“เป็นคนบ้านนี้หรือ”
“เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ แม้จะมีบางช่วงที่หายไป แต่ก็ได้กลับมาบ้านเกิดและคงจะอยู่จนตายจากกันไปข้างนั่นแหละ อีกไม่กี่วันก็หกสิบแล้ว แต่ว่าท่านมาจากไหน ไม่เคยหน้า”
“เคยเป็นคนบ้านนี้เหมือนกัน แต่อยู่ได้เพียงยี่สิบปีก็จากไป”
คนแจวเรือถอดหมวก หันมามองหน้า พอเห็นหน้าชัดจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไอ้เจ้ย” ขอโทษครับ “หลวงพ่อเจ้ย” ผมลืมตัวไปหน่อย ผม “ตุ๋ย” ครับ บ้านอยู่กลางหมู่บ้าน
ชื่อนี้เรียกขานกันเฉพาะเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่มีใครเรียกขานนามนี้มานานแล้ว ชื่อจริงไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ชื่อเล่นไม่ได้บอกใคร ความจริงเราเรียนชั้นเดียวกัน เกณฑ์ทหารพร้อมกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ไม่เคยได้พบหน้ากันอีกเลย เส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางใครทางมัน แต่บางครั้งก็ย้อนกลับมาพบกันจนได้
จากนั้นสรรพสำเนียงแห่งการถามข่าวก็ประสานเสียงพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพื่อนเก่ามาพบกัน สี่สิบปีแล้วสินะ ที่ไม่เคยได้พบหน้ากันเลย
ตุ๋ยบอกว่า “ทราบข่าวเพียงว่า ท่านไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนจบปริญญาเอก เป็นดอกเตอร์ น่าจะเป็นคนแรกของรุ่น หรืออาจจะเป็นคนแรกของหมู่บ้านนี้ด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบเพื่อนเก่าในวันนี้ แวะที่แพผมก่อนจะไปไหนต่อค่อยว่ากัน วันนี้ผมมีความสุขมาก”
เพื่อนเก่าคุยกันในวันที่ได้พบโดยบังเอิญ “บ้านเราเปลี่ยนแปลงไปมากครับ หนอง คลอง บึง บุ่ง ทาม เปลี่ยนหมดเลยครับ เขาพัฒนาเป็นแหล่งน้ำ แต่แม่น้ำสายนี้ยังอยู่ยังคงไหลไปสิ้นสุดที่เขื่อน เดี๋ยวน้ำในเขื่อนดันสูงขึ้นมามาก ไร่นาที่เคยทำนาในสมัยก่อน ปัจจุบันกลายเป็นที่น้ำท่วม เพาะปลูกอะไรไม่ได้ บึงเก่าหายไปเปลี่ยนเป็นบึงขนาดใหญ่ บุ่งเก่าหายไปกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ต้นไม้ถูกตัดโค่นเพื่อขยายพื้นที่ของบุ่งให้กว้างขึ้น มันสะดวกขึ้น ทำเลดีขึ้น แต่การหาปลากลับได้ปริมาณน้อยลง” ตุ๋ยพยายามเล่าความหลัง
“ผมไปอยู่ปักษ์ใต้พักหนึ่งครับ มีครอบครัวที่นั่น ออกเรือหาปลานะครับ แต่เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ แพทย์ว่าผมป่วยเป็นมะเร็ง ไม่อยากให้ใครลำบากด้วย จึงหนีกลับบ้านเกิดครับ ตั้งใจจะกลับมาตายที่บ้านเกิด ที่ไร่ที่นาขายหมดแล้วครับ ผมจึงตัดสินใจซื้อแพหลังหนึ่ง หาปลาเป็นอาชีพรอความตาย ตอนนั้นเลิกกินยาตามคำสั่งแพทย์ แต่หันมากินยาสมุนไพรแทน นี่ก็ห้าปีแล้ว ผมยังไม่ตาย กลับมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น”
เมื่อถามถึงครอบครัว ตุ๋ยบอกว่า “ไม่มีหรอกครับ เมียเก่าก็เลิกกันแล้ว มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งอยู่ที่ปักษ์ใต้ ผมมีหลานชายคนหนึ่งแวะมาเยือนประจำ กำลังเรียนหนังสือนะครับ ชั้นไหนนะ น่าจะมัธยมปลายครับ ผมตั้งใจว่าจะหาเงินส่งเขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยให้ได้นะครับ ทดแทนสิ่งที่ผมไม่เคยทำได้ ภาษาพระว่าอะไรนะครับ ใครทำกรรมอะไร ก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น”
ข้อความนี้เป็นคำสอนที่ปรากฎในจุลลนันทิยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (19/294) ความว่า “บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น” เราทำมาหากินก็ว่าไปตามเรื่อง วันนี้งดเรื่องธรรมะธรรมโมสักวัน มาสนทนาเรื่องเก่าในอดีต สนทนาตามประสาเพื่อนเก่าดีกว่านะ
แล้วเรื่องของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ตุ๋ยหันมาถาม “วันนี้มีธุระที่จะต้องเดินทางไปต่อ วันหลังจะแวะมาสนทนาด้วย เรื่องของเรามันยาว วันนี้ดีใจมากที่ได้พบเพื่อนเก่า หวังว่าวันต่อไปคงจะคุยเรื่องเก่าเล่าความหลัง ของคนวัยใกล้ชรา”
การได้กลับบ้านเกิด ได้เพบเพื่อนเก่า ได้เล่าความหลัง แม้จะมีสถานะที่แตกต่างกัน แต่ความเป็นเพื่อนไม่ได้ลดน้อยลงไปด้วย ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำกันไป ทำงานเพื่อมีชีวิตอยู่ ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายเป็นเพียงสมมุติ ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะ แต่ความเป็นมนุษย์ยังคงอยู่ต่อไป จนกว่าลมหายใจจะสิ้นสุด
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
04/06/61