วันพ่อปีนี้มีกิจกรรมหลายอย่าง ที่พสกนิกรปวงชนชาวไทยกระทำเพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา พระองค์เป็นมิ่งขวัญ เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย พระองค์ทรงเป็นพ่อของคนไทยทั้งประเทศ กิจกรรมที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงในวันพ่อปีนี้คือ “ปั่นเพื่อพ่อ” เป็นเหมือนการย้อนกลับไปยังวันเวลาที่คนไทยเคยใช้จักรยานเป็นพาหนะ แม้ว่าจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อได้ เนื่องจากสถานะไม่เอื้อต่อการทำกิจกรรมนั้น แต่หากจะกล่าวถึงพาหนะสิ่งแรกที่เป็นของขวัญจากพ่อ ย้อนกลับไปยังอดีตทำให้นึกถึงจักรยานเก่าๆคันหนึ่ง เป็นจักรยานของพ่อที่มอบให้เป็นรางวัลในการศึกษาชิ้นแรก
เมื่อสอบเทอมแรกชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าเสร็จสิ้น พ่อซื้อจักรยานให้คันหนึ่ง เป็นจักรยานเก่าราคาไม่กี่ร้อยบาท พ่อซื้อมาแล้วก็ลงมือซ่อม จากนั้นก็เรียกให้เข้าไปหาและมอบจักรยานเก่าที่ซ่อมเสร็จแล้วให้ พ่อบอกสั้นๆว่า “พ่อให้รางวัลแก่นักเรียนคนเก่ง” ลูกชายได้จักรยานก็เริ่มฝึกขี่จักรยาน เพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนั้นก็แบกซากจักรยานเก่าที่ล้อบิดเบี้ยว แฮนด์หักกลับมาบ้าน พร้อมด้วยบาดแผลที่ร่างกายอีกหลายแห่ง หัวเข่าถลอกเป็นรอยแผล ข้อศอกก็แตก ส่วนอื่นๆในร่างกายมีแผลเต็มไปหมด วางจักรยานไว้หน้าบ้าน แม่ก็เดินเข้ามาจัดการล้างบาดแผลและทำแผลให้ ทำไปบ่นไป “เริ่มต้นก็เป็นอย่างนี้ ต้องได้แผลก่อนทุกที ทีหน้าทีหลังต้องระมัดระวังให้มาก วันนี้ยังขี่ไม่ได้ วันหน้าค่อยว่ากันใหม่”

ส่วนพ่อก็เริ่มลงมือซ่อมจักรยานอีกครั้ง โดยมีลูกชายคนเล็กอีกคนช่วยจับนั่นจับนี่ “ซื้อให้ผมบ้างนะพ่อ ต้องซื่อคันใหม่ด้วยนะ คันเก่าไม่เอาแล้ว” พ่อก็เพียงยิ้มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ยังคงพยายามหาทางซ่อมจักรยานคันนั้นไปเรื่อยๆ
เจ็บบาดแผลและเข็ดขยาดไปหลายวัน แม้ว่าจักรยานคันนั้นจะซ่อมเสร็จแล้ว ก็เพียงแต่ปั่นเล่นๆรอบๆบ้าน ไม่กล้าออกไปไหนไกล เพราะยังกลัวอันตราย กลัวจักรยานจะล้ม กลัวว่าจักรยานจะพัง ที่สำคัญกลัวพ่อดุด้วย แต่พ่อก็เอาแต่ยิ้ม เนื่องจากพ่อเป็นคนพูดน้อย นานๆครั้งจึงจะเอ่ยวาจาออกมาสักคำ คนที่พูดคือแม่ ซึ่งพ่อก็มักจะคล้อยตาม
“เริ่มขี่จักรยานใหม่ๆ ต้องขี่ไปช้าๆ ค่อยๆปั่นไป ตอนเข้าโค้งต้องชะลอให้จักรยานช้าลง อย่าด่วนเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ต้องค่อยๆแตะที่เบรก” แม่สอนขี่จักรยาน
พ่อเอ่ยวาจาขึ้นมาว่า “ที่สอนลูกนะ คนสอนเคยขี่จักรยานหรือ”
แม่ก็เพียงแต่หันไปทำตาค้อนนิดหนึ่ง เพราะความจริงคือ แม่ก็ขี่จักรยานไม่เป็น แต่แม่เคยเป็นนักวิ่งร้อยเมตรตัวแทนโรงเรียน เมื่อจะไปไหนมาไหนก็มักจะเดินเร็วกว่าปรกติ บางครั้งยังเผลอวิ่ง ผู้ที่เดินตามหลังต้องพยายามตามให้ทัน แต่ด้วยความที่เป็นห่วงลูกชายเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บจากการขับขี่จักรยานจึงพยายามสอนลูก

ข้าพเจ้าสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่สำหรับพ่อต้องเรื่องใหญ่ๆเท่านั้นจึงจะขอคำปรึกษา อย่างเรื่องของการเรียนต่อ พ่อเป็นคนตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย
เมื่อสอบปลายภาคชั้นประถมศึกษาปีที่สี่แล้ว พ่อก็บอกว่า “เราเป็นชาวนา ชาวไร่ ไม่จำเป็นต้องเรียนมากนักก็ได้ มาช่วยพ่อทำนาดีกว่า เพราะลูกชายคนโตต้องรับภาระต่อจากพ่อ ให้น้องชายและน้องสาวเรียนต่อน่าจะเหมาะกว่า” พ่อสรุปสั้นๆ จากนั้นก็พาลูกชายไปช่วยไถนา ทำงานในไร่อีกสารพัด
ส่วนแม่ค้านว่า “ในบรรดาลูกทั้งหลายนั้น น่าจะมีคนเดียวที่มีผลการเรียนดีที่สุด สอบได้อันดับหนึ่งของโรงเรียน ครูใหญ่บอกว่าได้คัดเลือกนักเรียนที่เรียนดีสี่คนส่งไปเรียนที่โรงเรียนประจำตำบล เจ้าลูกชายของพ่อเรียนเก่งที่สุดในชั้นเรียน น่าจะมีโอกาสได้เรียนต่อ”
พ่อและแม่ยังตกลงกันไม่ได้ ต่างก็พยายามยกเหตุผลมาหักล้างกันอยู่นาน ส่วนลูกชายต้องตื่นแต่เช้าขี่ควายออกไปยังท้องทุ่ง จับควายเทียมไถ ลงมือไถนา ไถไร่ทุกวัน ทำงานไม่มีวันหยุด พ่อกับลูกชายทำงานอยู่กลางทุ่ง ตอนสายๆ แม่ก็นำข้าวปลาอาหารไปส่ง
ช่วงที่รับประทานอาหารเที่ยง แม่เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องการเรียนของลูกชาย พ่อจะว่าอย่างไร โรงเรียนก็เปิดเรียนมาครึ่งเดือนแล้ว ครูใหญ่บอกว่าคนอื่นเขาไปเรียนกันแล้ว ขาดแต่ลูกชายของพ่อคนเดียว”
พ่อหันมาถามแม่ว่า “แล้วแม่ว่าอย่างไร”

แม่บอกว่า “ก็ทดลองเรียนดูก่อนก็ได้ อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่ารักษาชื่อเสียงของโรงเรียนบ้านเรา ช่วยรักษาหน้าครูใหญ่ไว้บ้าง หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยว่ากันอีกที ส่วนงานที่ในไร่นา แม่จะมาช่วยทำงานให้มากขึ้น”
พ่อหันทางลูกชายถามขึ้นว่า “แล้วเอ็งจะเอาอย่างไร จะเรียนต่อหรือช่วยพ่อทำนา”
ตอนนั้นจำได้ว่าตอบพ่อไปโดยแทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “เรียนสิพ่อ วันหยุดผมก็มาช่วยพ่อกับแม่ทำนา ทำไร่เหมือนเดิม”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พ่อจะพาไปฝากที่โรงเรียน” บทสรุปขอพ่อนำไปสู่การกระทำในเวลาต่อมา
แม้จะเรียนช้ากว่าเพื่อนคนอื่นครึ่งเดือน แต่ก็สามารถเรียนจนทันเพื่อน เทอมแรกสอบได้อันดับที่ห้าของโรงเรียน ครูใหญ่ก็ยิ้มออก แม่ก็ดีใจ ส่วนพ่อมีเพียงรอยยิ้มจางๆ ไม่ได้มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเลย
จนกระทั่งขึ้นเทอมที่สอง พ่อจึงซื้อจักรยานเก่าๆคันนั้นให้ เป็นจักรยานคันแรกในชีวิต เป็นของขวัญจากพ่อ เป็นรางวัลในการสอบ และแม่ได้ซื้อรองเท้าผ้าใบ เป็นรองเท้าผ้าใบคู่แรกอีกเช่นกัน เพราะตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมาเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียนตลอด ผ่านทุ่งนาไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประจำตำบลระยะทางประมาณสามสี่กิโลเมตร

จักรยานคันนั้นใช้อย่างคุ้มค่า ซ่อมแล้วซ่อมอีก และยังคงใช้ขี่ไปโรงเรียนจนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม จากนั้นเมื่อเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ก็ย้ายโรงเรียนจากจังหวัดหนึ่งมาอีกจังหวัดหนึ่ง หันมาใช้บริการของรถประจำทางระหว่างจังหวัดแทน จักรยานของพ่อคันนั้นจึงกลายเป็นสมบัติส่วนรวมของทุกคนในบ้าน ซึ่งไม่นาก็พัง
วันนี้พ่อไม่อยู่แล้ว เหลือแต่แม่ที่อายุมากแล้ว การขับขี่จักรยานก็ไม่ได้ความนิยมตามสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถจักรยานยนต์และรถยนต์แทนกันเกือบจะหมดแล้ว
ในช่วงเทศกาลวันพ่อมีโครงการ “ปั่นเพื่อพ่อ” จักรยานที่กำลังจะถูกลืมก็กลับมามีพลังอีกครั้ง หากมีโอกาสและไม่ผิดกาลเทศะ ก็จะสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ แต่เพราะสถานะในปัจจุบันไม่เอื้อต่อการปั่นจักรยาน สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่ขอเอาใจช่วยนักปั่นทั้งหลาย ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเกือบห้าสิบปีแล้ว วันนี้ลูกชายที่เคยได้จักรยานเป็นของขวัญจากพ่อ แม้จะปั่นจักรยานไม่ได้ และจักรยานของพ่อคันนั้นก็กลายเป็นเศษเหล็กไปนานแล้ว แต่จักรยานของพ่อยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ รอยแผลเป็นที่หัวเข่าเมื่อครั้งเริ่มหัดขี่จักรยานครั้งแรกยังคงหลเหลืออยู่ เพราะจักรยานอันเป็นรางวัลของกาเรียนดีคันนั้นแท้ๆ ที่ทำให้ลูกชายของพ่อมุมานะศึกษาเล่าเรียน จนสามารถเรียนจบชั้นสูงสุดของการศึกษา มีคำนำหน้าชื่อว่า “ดอกเตอร์” แต่ก็ยังไม่เคยลืมว่ามาจากลูกชาวนา พ่อเป็นชาวนา แม่เป็นชาวไร่ แต่ลูกชายกลับเดินแตกแถว เห็นคนขี่จักรยานคราใด ใจคิดพ่อทุกครั้ง แม้จะปั่นจักรยานไม่ได้ แต่ก็ขอเอาใจฝากไป “ปั่นเพื่อพ่อ” ด้วยคน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
04/12/58