ได้ยินใครบางคนบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อน จะคบหากับใครสักคนก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะเพื่อนกินหาง่าย แต่เพื่อนตายหายาก บางคนจึงเป็นผู้มีเพื่อนน้อย บางครั้งการมีเพื่อนน้อยก็ยังดีกว่ามีเพื่อนมากแต่พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ค่อยได้ แต่หากจะมองอีกมุมหนึ่งคนเรามีทุกอย่างที่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับเราได้ทุกเมื่อ ธรรมชาติแม่น้ำ ภูผา ป่าไม้ล้วนสามารถเป็นเพื่อนกับมนุษย์และสรรพสัตว์ได้ ถ้าเราเปิดใจพร้อมที่จะคบหาเพื่อนก็มีอยู่ทั่วไป
เช้าวันธรรมสวนะขณะที่กำลังเดินไปพระอุโบสถมีเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ใกล้ๆศาลาการเปรียญ จึงเอ่ยทักว่า “ทำอะไรอยู่จ๊ะ ทำไมอยู่คนเดียว เพื่อนๆหายไปไหนหมด”
คำตอบจากปากของเด็กหญิงคนนั้นฟังแล้วถึงกับอึ้ง “ไม่ได้อยู่เดียว กำลังเล่นกับเพื่อนๆอยู่นี่ไง” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครอื่น มีเพียงเด็กหญิงคนเดียว “ไหนละเพื่อนไม่เห็นมี”
เธอชี้ให้ดูสิ่งของต่างๆที่วางเรียงรายอยู่รอบข้าง เธอชี้ไปที่แก้วน้ำ นี่ไงพี่ชาย ชี้ไปที่ใบไม้ นี่ไงเพื่อน ชี้ไปที่ขวดน้ำ นี่ไงน้องสาว” ด้วยามไร้เดียงสาเธอสมมุติสิ่งของต่างๆให้มีชีวิตและเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นญาติผู้ใหญ่ วันนี้พ่อไม่มา พ่อต้องออกไปทำงานแต่เช้า”
ได้ยินเสียงสุภาพสตรีแว่วมาจากโรงครัวว่า “อย่ากวนหลวงพ่อนะลูก” เด็กหญิงคนนั้นบอกว่า “หลวงพ่อกำลังเล่นขายของกับหนูอยู่ ตกลงหลวงพ่อจะซื้ออะไรดีคะ ขนมลูกตาล หรือลอดช่องดี”
“ขนมลูกตาลก็แล้วกัน หลวงพ่อไปสวดมนต์ก่อน เดี๋ยวกลับมาเอาห่อให้ด้วย” หลวงพ่อที่เธอเรียกก็รักษาน้ำใจกลายเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหญิงคนนั้นไปโดยปริยาย
เริ่มต้นเช้าวันนี้อย่างอารมณ์ดี เด็กหญิงคนนั้นทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงวัยเด็กที่อยากรู้อยากเห็น คิดหาวิธีการเล่นจากสิ่งของต่างเท่าที่จะหาได้ หากมีเพื่อนเล่นก็จะสมมุติคนนั้นเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน เป็นพี่ ผู้ชายสมมุติเป็นทหาร เป็นตำรวจ ส่วนคนที่หน้าตาดุร้ายก็สมมุติให้เป็นโจร ตำรวจไล่จับผู้ร้าย ส่วนเด็กหญิงก็สมมุติเป็นแม่ค้า เป็นชาวบ้านเป็นชาวนา แล้วแต่จะคิดได้ สมมุติใบไม้แทนเงิน สมมุติดิน หินทรายเป็นขนม เป็นต้น ชีวิตในวัยเยาว์เป็นไปดั่งนี้ ชีวิตเพลิดเพลิน ไม่มีสิ่งกังวลใจอันใดให้คิดมาก มีทุกอย่างเป็นเพื่อน จิตเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสาแต่ที่วุ่นวายเพราะอุปกิเลสที่จรมา หากไม่หมั่นพิจารณาแล้วยิ่งแก่มากกิเลสยิ่งพอกพูนเพิ่มขึ้นเป็นเหมือนเงาตามตัว
แม้แต่ตอนที่เดินทางออกไปทำงานกลางทุ่งนา ในขณะที่พ่อแม่กำลังทำนา พวกเด็กๆก็วิ่งเล่นเปื้อนโคลนตามท้องนา สมมุติให้ภูเขาเป็นเพื่อน แม่น้ำเป็นสหาย สายลมเป็นเป็นแม่ มีม้าก้านกล้วยขี่เล่นแทนม้า แทนช้าง ชีวิตก็ผ่านมาได้จนมีอายุถึงป่านนี้
สมัยที่ยังเด็กผู้เขียนมีเพื่อนเป็นแม่น้ำเนื่องจากคุณตาคุณยายมีอาชีพทำประมงน้ำจืด มีเรือนแพไม้ไผ่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ เรือนแพจึงกลายเป็นบ้าน ทำกิจกรรมทุกอย่างอยู่บนเรือนแพนั้น หากใครคิดสภาพแพกลางน้ำไม่ออกก็คิดละครเรื่องเรือนแพ ที่เคยนำเสนอทางโทรทัศน์ นั่นแหละคือเรือนแพ แต่เรือนแพของคุณตาลอยอยู่กลางน้ำจริงๆ
หากมีปัญหาเกิดขึ้นคิดอะไรไม่ออกบอกไม่ได้หรือถูกแม่ด่า ถูกพ่อตีก็มักจะหนีไปหลบนอนเล่นกับคุณตาคุณยายที่เรือนแพกลางน้ำ นั่งสนทนากับสายน้ำที่ไม่เคยมีคำตอบ สักพักก็หายกลุ้มใจ แม่น้ำจึงเป็นเหมือนเพื่อนเก่าแก่ที่ไม่เคยเอ่ยคำตำหนิ ไม่เคยดุด่า ไม่เคยทำร้าย มีแต่ให้ความชุ่มเย็น ดับความร้อนแห่งร่างกายและดับความกระวนกระวายแห่งจิตใจได้
ในสิงคาลกสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (11/191/144) ได้แสดงของมิตรแท้และมิตรเทียมไว้ความว่า บัณฑิตรู้แจ้งมิตรจำพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก มิตรดีแต่พูด มิตรหัวประจบ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ว่าไม่ใช่มิตรแท้ ดังนี้แล้วพึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัย ฉะนั้น
ส่วนลักษณะของเพื่อนแท้แสดงไว้ว่า “มิตรสี่จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรแนะประโยชน์ มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี เป็นมิตรแท้
มีคำสอนของคนโบราณอยู่ตอนหนึ่งที่จดจำได้ขึ้นใจว่า “ใจร้อนเป็นสัตว์เป็นผี ใจดีเป็นคน ใจกังวลเป็นบ้า ใจกล้าเป็นนักรบ ใจสงบเป็นนักปราชญ์ ใจฉลาดเป็นบัณฑิต ใจไม่ยึดไม่ติดเป็นนิพพาน” จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ใจเป็นผู้คิด แต่กายวาจาเป็นผู้แสดง หากทำไม่ดี พูดไม่ดีและคิดไม่ดีคือหนทางแห่งความเป็นคนพาล ดังที่มีแสดงไว้ในลักขณสูตร อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท(20/441/96) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมสามประการ พึงทราบว่าเป็นคนพาล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมประการ พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต ธรรม ประการเป็นไฉนคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ในจินตาสูตรอังคุตรนิกาย ติกนิบาท(20/441/96) ได้แสดงเรื่องของการคิดซึ่งบ่งบอกลักษณะของคนพาลและบัณฑิตไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้คิดเรื่องที่คิดชั่ว พูดคำที่พูดชั่ว ทำกรรมที่ทำชั่ว
ส่วนบัณฑิตในโลกนี้ย่อมเป็นผู้คิดเรื่องที่คิดดี พูดคำที่พูดดี ทำกรรมที่ทำดี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะบัณฑิตนิมิตบัณฑิต ความประพฤติไม่ขาดสายของบัณฑิต ประการนี้ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตในโลกนี้ย่อมเป็นผู้คิดเรื่องที่คิดดี พูดคำที่พูดดี ทำกรรมที่ทำดี
ในอัจจยสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (20/433/97) ได้แสดงลักษณะของคนพาลและบัณฑิตไว้ ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ประการ พึงทราบว่าเป็นคนพาล ธรรมประการเป็นไฉน คือ (1)ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ (2) เห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว แต่ไม่ทำคืนตามธรรม (3)เมื่อผู้อื่นชี้โทษอยู่ ไม่รับรู้ตามธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ประการนี้แล พึงทราบว่าเป็นคนพาล
ส่วนลักษณะของบัณฑิตแสดงไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมสามประการ พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต ธรรมสาม ประการเป็นไฉน คือ(1) เห็นโทษโดยความเป็นโทษ (2) เห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว ย่อมทำคืนตามธรรม (3) เมื่อผู้อื่นชี้โทษอยู่ ย่อมรับรู้ตามธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมสามประการนี้แล
เด็กมีวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมมองสิ่งต่างๆอย่างเป็นธรรมดา ไม่ได้คิดร้ายหรือทำอันตรายแก่สิ่งที่อยู่รอบข้าง เขามองทุกสิ่งที่พบเห็นเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นญาติจึงอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน แต่พอโตขึ้นหน่อยสังคมก็เปลี่ยนไปเพราะต้องเข้าโรงเรียนเปลี่ยนจากสิ่งที่คุ้นเคยมาคบหากับคนอื่นๆ จึงมีคนเป็นเพื่อนแทนสิ่งของที่เคยเป็น
เมื่อถึงวัยทำงานพอถูกถามว่ามีเพื่อนที่ไหนบ้าง ก็มักจะอ้างถึงเพื่อนเก่าสมัยที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันมาในอดีต ที่ปัจจัยมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นนายพล เป็นผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ เป็นทหารตำรวจ เป็นต้น จะมีสักกี่คนที่บอกว่า มีเพื่อนเป็นภูเขา มีเพื่อนเป็นก้อนหิน มีเพื่อนเป็นแม่น้ำ
แต่ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไป เด็กไทยในยุคเทคโนโลยีน่าจะมีของเล่นเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก หุ่นยนต์ รถยนต์ หรือของเล่นที่อย่างอื่นที่ทันสมัย แต่ธรรมชาติแม้จะถูกแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังเป็นเพื่อนสำหรับผู้ที่มองเห็นคุณค่า แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา เป็นเพื่อนสนิทสำหรับคนที่มีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมชาติ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนคงอยู่ดำรงอยู่ตามธรรมดา ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยปองร้ายใคร มีแต่เป็นผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
แสงแดดยามสายเริ่มร้อนระอุขึ้น ตะวันเคลื่อนตัวเปลี่ยนร่มงมของชายคาศาลาให้เหลือพื้นที่น้อยลง เด็กหญิงคนนั้นหลบแดดหนีร้อนไปไหนก็ไม่รู้ ทิ้งไว้แต่สิ่งของเครื่องใช้ที่เธอทำให้เป็นเพื่อนเล่น วางระเกะระกะอยู่ที่เดิม ส่วนเจ้าตัวคงหาเพื่อนเล่นใหม่แล้ว โลกนี้ไม่เคยขาดแคลนเพื่อน หากในสายตาเรามีความรัก มีความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขาก็กลายเป็นเพื่อนได้ทุกเวลา มนุษย์เรามีธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวเป็นเพื่อนแท้ที่ไม่เคยร้องขอสิ่งตอบแทน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
13/09/58