ใกล้วันแม่แห่งชาติเข้ามาทุกที ปีนี้คงไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ เพราะมีเหตุผลหลายอย่าง ได้แต่โทรศัพท์ถามข่าว เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ก็สบายใจว่าแม่ยังคงมีสุขภาพที่พออดพอทนได้ ตอนหนึ่งได้เอ่ยถามไปว่า ตอนนี้ที่บ้านเราก้อนเมฆบนท้องฟ้ามีรูปร่างเป็นอะไร ได้ยินเสียงแม่หัวเราะก่อนจะบอกว่าเป็นครุฑกำลังไล่จับพญานาค จึงบอกแม่ไปว่าแต่ที่กรุงเทพมิใช่ครุฑแต่เป็นปราสาทของเทวดาบนสรวงสวรรค์ แม่ยังคงหัวเราะเหมือนกำลังย้อนรำลึกถึงอดีตกาลที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่ายังคงอยู่ในจินตานาการที่แม่มักจะสร้างวิมานจากก้อนเมฆ
แม่ของข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดามีอาชีพเป็นชาวนา ชาวไร่ หรือปัจจุบันอาจจะมีคำเรียกที่น่าฟังว่า “เกษตรกร” แต่แม่ไม่เคยรู้จักคำว่าเกษตรกร เพราะแม่มักจะเรียกตัวเองว่าแม่มีอาชีพเป็นชาวนา ชาวไร่ ทำนา ทำไร่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ อาจจะมีบ้างในบางครั้งอาจจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นคนหาปลา ซึ่งไม่อาจจะนับเป็นชาวประมงได้ เพราะไม่ได้ประกอบเป็นอาชีพ ทำเพียงแค่หาอยู่หากินเท่านั้น ในด้านการศึกษาก็จบเพียงการศึกษาภาคบังคับในสมัยนั้นคือชั้นประถมปีที่สี่เท่านั้น ความรู้ที่มีจึงมีเพียงแค่นั้น แหล่งความรู้ทั้งหลายจึงมาจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งพอจะเรียกได้ว่า ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ล้วนๆ
แหล่งความรู้ที่ทันสมัยที่สุดคือวิทยุ ซึ่งสมัยนั้นเป็นสถานการศึกษาที่ทันสมัยที่สุด นักจัดรายการวิทยุจึงเป็นคนที่มีความรอบรู้ที่สุด วิทยุทรานซิสเตอร์จึงเป็นเหมือนมหาวิทยาลัยเปิดที่ทุกคนสามารถศึกษาและเรียนรู้ได้เท่าเทียมกัน
นอกจากแม่จะเปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวสารบ้านเมืองแล้ว ยังมีเพลงลูกทุ่ง มีละครวิทยุที่ออกอากาศในช่วงเวลาที่สามารถติดตามได้ บางวันมีหลายเรื่อง และแม่ก็มักจะถือวิทยุติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ
หน้าที่ของแม่ประการหนึ่งคือนำอาหารกับข้าวที่พร้อมบริการไปส่งให้พ่อที่ทำงานในนา ในไร่ตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อจะตื่นตั้งแต่ไก่เริ่มขัน จากนั้นก็จะจูงควายจากคอก แบกคันไถเดินออกไปยังทุ่งนา ส่วนลูกชายก็จะตามพ่อไปด้วย ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ขี้เกียจที่สุดตอนตื่นเช้านี่แหละ แม่ปลุกแล้วปลุกอีกก็ยังหาโอกาสหลับต่อจนได้ แม้จะขึ้นนั่งบนหลังควายแล้ว ก็ยังนั่งหลับไปบนหลังควายนั่นเอง หลับไปจนถึงที่นา พ่อจะปลุกอีกครั้ง เจ้าควายคู่นาก็ไม่เคยเดินออกนอกเส้นทางสักครั้ง มันเดินไปตามหนทางที่มุ่งสู่ท้องนาทุกวัน ไม่เคยมีอุบัติเหตุ รวมถึงคนที่นั่งหลับอยู่บนหลังควายก็ไปถึงสถานที่ทำงานคือทุ่งนาจนปลอดภัยได้ทุกครั้ง
ช่วงเวลาที่จะได้เล่นสนุกเหมือนคนอื่นๆนั้นหายากเต็มที นอกจากวิ่งเล่นตามท้องนา เวลาเหนื่อยๆก็พักมันตรงที่ทำงานนั่นแหละ หรืออาจบางทีหลบมานอนหลับที่กระท่อมปลายนา
ตอนเย็นมักจะเดินทางกลับบ้านพร้อมกับแม่ แม่มักจะเล่นนิทานสนุกๆให้ฟัง บางครั้งก็ชี้ให้ดูก้อนเมฆบนท้องฟ้า จากนั้นก็จินตนาการไปตามภาพของก้อนเมฆที่เห็น “นั่นเอ็งเห็นไหม เมฆก้อนนั้นมีเทวดาสถิตอยู่ ดูสิเหมือนวิมานของพระราชาเลย”
ลูกชายก็จะเถียงแม่ว่า “ไหนหละแม่ปราสาทราชวัง ไม่เห็นมีเลย นั่นมันบ้านร้าง ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีบันไดด้วยซ้ำ มันจะเป็นปราสาทไปได้อย่างไรกัน”
“ดูให้ดีๆสิ นั่นไงประตูเมือง มีทหารถือหอกยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู คอยป้องกันอันตรายต่างๆ “
พยามเพ่งมองอีกครั้ง เมื่อเมฆเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะคล้อยตามจินตนาการของแม่ “ทำไมเทวดาอยู่บนก้อนเมฆได้ เวลาฝนตก เทวดาจะไปอยู่ที่ไหน”
“ก็เปลี่ยนไปยังเมฆก้อนอื่นสิ เมฆไม่มีวันหมดไปจากฟ้า เทวดาก็ย่อมมีวิมานเป็นที่อยู่จนได้ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้หรอก เอ็งต้องเป็นคนดี ขยันเรียนหนังสือจะได้ทำงานดีๆไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่”
“น่าสงสารเทวดา ที่ต้องย้ายที่บ้านบ่อย สู้บ้านเราก็ไม่ได้ อยู่กันมานานแล้ว ไม่ต้องย้ายไปไหน ผมไม่อยากเป็นเทวดาหนอกแม่ เป็นชาวนา ชาวไร่เหมือนแม่นี่แหละสบายดีแล้ว”
“ไม่ได้สิ ลูกต้องดีกว่าพ่อแม่ ต้องมีงานทำ มีหน้าที่การงานที่ดีกว่าชาวนาที่ต้องทำงานหนักทั้งวัน ตลอดปีตลอดชาติ”
เมื่อเมฆก้อนเดิมเปลี่ยนสภาพก็เกิดเป็นรูปร่างใหม่ แม่ก็จะชี้ให้ดูอีกก้อน “นั่นเห็นไหมพญาครุฑกำลังไล่จับพญานาค นั่นพญานาคกำลังเคลื่อนตัวหนีพญาครุฑ” จากนั้นแม่ก็เริ่มเข้าสู่นิทานเรื่องพญาครุฑกับพญานาค เล่าไปชี้ให้ดูก้อนเมฆไป เป็นการฉายภาพประกอบที่เกิดจากธรรมชาติ ไม่ต้องหาอุปกรณ์การสอนจากที่อื่นใดเลย
ดูไปดูมาก็เริ่มจะคล้อยตามวิมานเมฆที่แม่พยายามจินตนาการจากเมฆแต่ละก้อน แล้วแต่จะนึกออกว่าเมฆก้อนนั้นเหมือนอะไร ไม่นานก็ถึงบ้าน แม่ก็แยกย้ายเข้าครัวทำอาหาร ส่วนลูกชายก็อาบน้ำรอรับประทานอาหารเย็น ช่วงนี้มีเวลาอยู่กับพ่อ แต่พ่อไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟังเหมือนแม่ นอกจากจะสอนให้ทำงานประเภทช่างเช่นซ่อมแอกไถ ทออวน จักสานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ “พ่อเล่านิทานไม่เก่งเหมือนแม่เอ็งนี่” พ่อมักจะบอกแบบนั้นและเริ่มต้นสอนวิธีการทำงานไปเรื่อยๆ จนได้เวลาอาหารเย็น
ผู้เขียนเป็นลูกชาวนา ชาวไร่ เติบโตมาในบรรยายอย่างนี้ หากมีเวลากลับบ้านไปเยี่ยมแม่ อาหารที่ขาดไม่ได้ที่แม่จะต้องจัดหามาให้ลูกชายคือ “ซุบขนุนและลอดช่อง” แม่มักจะบอกลูกหลานคนอื่นๆว่า “สมัยเป็นเด็กหลวงลุงของพวกเอ็งชอบซุบขนุนและลอดช่องเป็นที่สุด ไปหามาให้ได้”
ซุบขนุนเป็นอาหารที่หาง่ายที่สุด เพราะแม่มักจะปลูกต้นขนุนไว้ที่ท้ายบ้านเสมอ ส่วนลอดช่องอาจจะหายากหน่อย หากหาไม่ได้จริงๆก็จะเป็นกล้วยน้ำหว้าแทน
วันแม่ปีนี้คงไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมแม่ เพราะหาเวลาว่างไม่ได้ ต้องทำงานทุกวัน เพราะเชื่อคำสอนของแม่จึงเรียนหนังสือเรื่อยมา จนปัจจุบันลูกแม่คนนั้นก็มาทำหน้าที่สอนหนังสือให้คนอื่นๆ แม้ว่างานจะไม่ได้สบายอย่างที่แม่จินตนาการไว้ แต่ก็สนุกกับการทำงาน อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าได้ทำตามคำสอนของแม่แล้ว
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เมฆาเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ บางก้อนเหมือนกำลังจะตกลงมายังภาคพื้น บางก้อนมีรูปร่างลักษณะเป็นสัตว์ต่างๆ เป็นปราสาทราชวัง เป็นนก เป็นพญาครุฑ เป็นพญานาค คิดถึงวันเวลาที่แม่เล่านิทานและสร้างวิมานจากก้อนเมฆสมัยเป็นเด็ก จินตานาการของแม่ที่สร้างวิมานเมฆ จนกลายเป็นนิทาน เป็นวิมานของแม่ที่สามารถจินตนาการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ก้อนเมฆเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ก่อให้เกิดภาพหลากหลายตามแต่ใครจะจินตนาการ เมฆไม่มีความมั่นคงเที่ยงแท้ย่อมแปรผันไปเรื่อย เฉกเช่นชีวิตของสรรพสัตว์ก็เปลี่ยนแปลงทุกเวลานาที เมฆบนท้องฟ้ากับเวลาของชีวิตเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ไม่คงทนถาวร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเหมือนกับสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/08/58