โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวัฏจักรของจักรวาล ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ชีวิตของสรรพสิ่งก็แปรเปลี่ยนไปตามธรรมดา สิ่งที่ผ่านไปกลายเป็นอดีต ไม่มีใครกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ต้องปล่อยให้เหตุการณ์และเรื่องราวทั้งหลายจารึกไว้ตามที่มันเคยเป็น ส่วนเหตุการณ์ในอนาคตแม้จะวางแผนได้ คาดการณ์ได้ ทำนายได้บ้าง แต่ก็เป็นเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางทีอาจจะเกิดเหตุแผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุถล่มเป็นต้น โลกก็เปลี่ยนกระบวนการปรับเปลี่ยนอนาคตใหม่ เราสามารถนำเอาประสบการณ์ในอดีตมาเป็นอุทาหรณ์ในปัจจุบันได้ อดีตที่ดีมีไว้ให้จดจำ อนาคตมีไว้ให้ฝัน ส่วนปัจจุบันมีไว้ให้ทำ
มีเพื่อนที่เป็นนักเขียนท่านหนึ่งโทรศัพท์มาทักทาย เขาบอกว่าหลายปีมานี้ผมพยายามเขียนหนังสือปีละเล่ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นงานง่ายๆ พยายามเขียนทุกวัน เขียนจากความทรงจำในอดีตบวกกับจินตนาการ แต่กว่าที่งานจะสำเร็จแต่ละเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด ปัจจุบันก็ยังพยายามเขียนอยู่ทุกวัน วันไหนที่คิดไม่ออกก็ใช้วิธีนั่งบ่นกับตัวเอง แต่ผมบ่นเป็นตัวอักษร ให้ตัวหนังสือคุยกันเอง ไม่นานก็ได้บทความเรื่องหนึ่ง
มาติดใจที่คำว่า “ตัวหนังสือคุยกัน” ซึ่งเป็นคำที่เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง จากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่เคยอ่านมานานแล้ว แต่ก็หาหนังสือเล่มนั้นไม่พบ เมื่อก่อนห้องก็เคยว่างเปล่าไม่มีอะไรแต่พอกาลเวลาผ่านไป หนังสือก็เริ่มมากขึ้น เมื่อตู้หนังสือเต็มก็ยังมีหนังสือเหลือจากตู้วางระเกะระกะอยู่ตามพื้น บางครั้งทับถมจนเล่มที่อยากอ่านก็มักจะหาไม่ค่อยพบ
สำหรับผู้เขียนแล้ว มิใช่ตัวหนังสือคุยกัน แต่เป็นหนังสือนอนหลับ หลับแบบไม่ยอมตื่นอีกต่างหาก บางเล่มหลับนานจนขึ้นรา เพราะเจ้าของไม่ยอมหยิบขึ้นมาอ่านอีกเลย หลังจากซื้อมาครั้งแรก เพียงเปิดผ่านๆแล้วก็วาง คิดว่าหากมีเวลาจึงจะหยิบขึ้นมาอ่าน แต่ทว่าเจ้าเวลาที่จะอ่านหนังสือไม่ค่อยโคจรมาเยือนสักเท่าไหร่ มันมาแวบเดียวก็จากไป ปล่อยให้ภาพและเสียงจากโทรทัศน์ทำหน้าที่แทน
วันนั้นคุยกันหลายเรื่องส่วนมากเป็นเรื่องราวในอดีต มักจะขึ้นต้นว่า “ถ้าหากผมทำอย่างนั้น......เหตุการณ์แบบนั้นคงไม่เกิดขึ้น..หรือถ้าเป็นผมคงจะทำอย่างนี้ เป็นต้น ประโยคที่สนทนามักจะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วแต่ไม่ได้ทำตามที่ควรจะเป็น คำสนทนาจึงเป็นเหมือนกับอยากแก้ไขอดีตไม่ให้เป็นอย่างที่มันเป็น
มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่สร้างเรื่องและเหตุการณ์ให้ย้อนกลับไปยังอดีตที่ผ่านไปแล้ว บางคนพยายามกลับไปแก้ไขอดีต ทำให้ผู้ชมคอยติดตามว่าจะแก้ไขได้หรือไม่ หากแก้ไขแล้วเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร แต่สุดท้ายมักจะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ทว่าภาพยนตร์นั้นก็ทำรายได้ให้กับผู้สร้างจำนวนมหาศาล
บางเรื่องพยายามสร้างเหตุการณ์ในอนาคต ประเภทสงครามดวงดาว มนุษย์ต่างดาว ซึ่งบางคนเชื่ออย่างสนิทใจว่าโลกนี้มีพิภพอื่น โลกอื่นอยู่จริงๆ ตามจินตนาการของนักเขียนซึ่งเป็นโลกแห่งจินตนาการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสันนิษฐานและข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
สมัยหนึ่งเคยติดตามอ่านงานเขียนของอาเธอร์ ซี คาร์ก นักเขียนแนววิทยาศาสตร์อนาคต เขาวาดภาพอนาคตของจักรวาลไว้น่าสนใจ เช่นโลกในปี ค.ศ. 3000 จะเป็นอย่างไรเป็นต้น ในช่วงเวลานั้นมนุษย์จะดำรงตนอยู่อย่างไรในโลกแห่งความเจริญและการเปลี่ยนแปลง
นักเขียนอีกคนหนึ่งที่เขียนหนังสือแนวอนาคตคือไอแซก อาซิมอฟ หนังสือชุดสถาบันสถาปนา อ่านแล้วเพลิดเพลินดี สงครามแห่งอนาคต ผู้ชนะที่แท้กลับกลายเป็นผู้ที่มีพลังจิต มิใช่ผู้ที่ใช้อาวุธที่ทันสมัย เป็นจินตนาการที่บรรเจิดเพริดแพร้า แต่เสียดายที่นักเขียนทั้งสองท่านได้หยุดผลิตผลงานไปตลอดกาลแล้ว
ทั้งอดีตและอนาคตเป็นเรื่องน่าสนใจ อดีตแม้จะผ่านไปแล้วก็ทำให้น่าศึกษาว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมคนในสมัยนั้นจึงมีความคิดแบบนั้น ส่วนโลกในอนาคตก็น่าติดตามว่าโลกจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางใด สามารถคาดเดาได้จริงหรือไม่ อดีตผ่านพ้นไปแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึงคาดเดาไม่ได้ เพราะโลกอาจจะแตกสลายไปในชั่วเวลาเพียงเหยี่ยวกระพือปีกก็ได้
มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสมิทธิ เมื่อครั้งที่ประทับอยู่ที่พระวิหารตโปทาราม เมืองราชคฤห์ พระสูตรนี้เป็นที่นิยมสวดของพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันคือมหากัจจยนภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (14/551/273) สรุปความว่า “ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่พระวิหารตโปทาราม เขตเมืองราชคฤห์ พระสมิทธิได้เข้าไปทูลถามถึงคำถามที่เทวดาองค์หนึ่งถามว่าอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญคืออะไร
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงสิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้วและสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ”
พระสูตรนี้เน้นถึงความเป็น “ปัจจุบัน” ให้ลืมอดีตและไม่ให้คำนึงถึงอนาคต แต่ให้พิจารณาถึงสถานะของความเป็นปัจจุบันที่ตัวเราเองกำลังดำรงอยู่ ซึ่งเราสามารถแก้ไขได้ วางแผนต่อไปในอนาคตได้ แม้ว่าเรื่องของปัจจุบันจะเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากจะลืม ไม่อยากอยู่กับสิ่งที่ตนเองเป็น ไม่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้คนส่วนหนึ่งจึงมักจะคิดถึงอดีตที่เคยมีความสุข และวางแผนในอนาคตที่อยากจะเป็น
ส่วนผู้ที่อยู่กับปัจจุบันแม้จะสิ้นลมหายใจร่างกายแตกสลายไปในวันนั้น ชีวิตของเขาก็ได้ชื่อว่าผู้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียว ก็ได้ชื่อว่าเป็นเจริญ
เพื่อนนักเขียนท่านนั้นวางสายไปแล้ว เขาคงกลับไปพยายามปรุงแต่งอดีตและเขียนหนังสือตามแผนการในอนาคต ปรับอดีตให้น่าสนใจและร้อยเรียงเรื่องราวให้น่าสนใจ ในที่สุดก็จะกลายเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม ชีวิตเขาคงเป็นไปในทำนองนั้น เขาคิดอย่างไรจะใช้ชีวิตอย่างไร ชีวิตก็เป็นของเขา ส่วนตัวเราก็พยายามปลุกหนังสือทั้งหลายให้ตื่นจากหลับใหล ให้มานั่งคุยกัน ในช่วงแห่งวันเวลาที่พอจะมีเวลาว่าง พยามลืมอดีตและไม่คิดถึงอนาคต อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด นอนคุยกับหนังสือ มีลมหายใจเป็นชีวิต มีหนังสือเป็นเพื่อน ดำรงอยู่กับปัจจุบันสมัยอย่างสำราญใจ ไม่นานเกินไปอีกทิวาและราตรีก็ผ่านไปอีกวัน อดีตผ่านพ้นไปแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง แต่ปัจจุบันคือความจริงที่เราดำรงอยู่ อนาคตเมื่อมองไปข้างหน้าคือความฝัน เมื่อไปถึงคือเป้าหมาย แต่เมื่ออยู่ในมือเราคือความสุข
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
26/05/58