วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก ป่าเขาเงียบสงัดยังไงไม่รู้ เสียงนกที่เคยร้องระงมเมื่อวันก่อนก็พลันเงียบเสียงไปด้วย แสงแดดร้อนส่องลอดป่าไผ่ที่นิ่งสงบ แม้แต่ลมก็ไม่รำเพยพัด ฉันภัตตาหารเสร็จเดินกลับกุฏิ เหงื่อไหลโทรมกาย นั่งพักพอหายเหนื่อย เดินเล่นที่ทางจงกรมสักพัก เหงื่อยิ่งออกมาก จึงตัดสินในบัดเดี๋ยวนั้นเดินไปที่ปากถ้ำ วันนี้ไม่มีผู้คนมาเยี่ยมชมถ้ำเลย บรรยายกาศจึงสงบเงียบ มีเพียงเสียงค้างคาวบางตัว ที่ตกใจตื่นใครบางคน ขยับปีกใต้ชะง่อนผา เหมือนกำลังเอ่ยคำทักทายอาคันตุกะผู้มาเยือน
มีไฟฉายส่องทางและเทียนไขอีกสองสามเล่ม เผื่อไว้หากมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าในถ้ำเกิดดับขึ้นมา เพราะหากเดินเข้าไปในถ้ำลึกเกินไปจะหาทางกลับออกมาไม่ได้ กันไว้ดีกว่าแก้ หากแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน ตามปรกติทางวัดได้มีกระแสไฟฟ้าเข้าไปในถ้ำเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้มาเที่ยว แต่ก็ติดไว้เฉพาะจุดที่สำคัญ ส่วนที่อยู่ลึกเกินไปแม้ไฟฟ้าก็ไปไม่ถึง ผู้คนจึงมักจะเที่ยวชมเฉพาะเขตพื้นที่ที่ไฟฟ้าไปถึงเท่านั้น ส่วนใครที่นิยมเข้าถ้ำก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
ถ้ำแก้วเรียกขานตามสิ่งที่ปรากฏภายในถ้ำ เนื่องเพราะหินส่วนหนึ่งภายในถ้ำมีลักษณะใสเหมือนแก้วเวลากระทบแสงไฟก็จะปรากฏเป็นเหมือนอัญญมีณีสีขาวบริสุทธิ์ หินสีขาวลักษณะนี้กระจายอยู่ทั่วถ้ำ บางแห่งเป็นหินงอกโผล่ขึ้นมาจากดินมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับพืชบางชนิด บางก้อนเป็นหินสีขาวใสดุจแก้วเจียรนัย ก่อให้เกิดเป็นความงามตามธรรมชาติ
หินอีกขนิดหนึ่งที่มีให้เห็นทั่วไปคือห้อยย้อยที่เหมือนหยดลงมาจากผนังถ้ำ คงเพราะมีน้ำย้อยค่อยๆหยดลงมา หินปูนจึงจับกันเป็นก้อนหยดย้อยมีลักษณะแตกต่างกัน บางอย่างเหมือนท่อนไม้ บางอย่างคล้ายรูปสัตว์บางชนิด หากมีเวลาเดินเข้าไปในถ้ำลึกก็จะได้พบเห็นหินงอก หินย้อยลักษณะแปลกๆ ขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนว่าหินนั้นมีลักษณะเหมือนอะไร
ผู้ที่ชื่นชอบในการสำรวจถ้ำหากมาที่ถ้ำแก้วแห่งนี้ มีเวลามากหน่อยค่อยๆเดินสำรวจลึกเข้าไปในสถานที่ที่ผู้คนไม่ค่อยได้เข้าไปก็จะได้พานพบกับความงามความอลังการของธรรมชาติที่รังสรรค์สิ่งสวยงามโดยเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ความงดงามนั้นมักจะหลบซ่อนอยู่ไกลจากมือของผู้คน เพราะหากมีผู้ไม่หวังดีอยากเก็บความงามไว้ชื่นชมคนเดียว โดยทำลายสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาหลายร้อยปี มนุษย์ทำลายสิ้นได้ในชั่วครู่เดียว
ปัจจุบันถ้ำแก้วเป็นวัดได้รับอนุญาตให้มีพระอยู่จำพรรษา แต่ไม่อนุญาตให้ทำการต่อเติมเสนาสนะภายในถ้ำ พระสงฆ์จึงเป็นเหมือนผู้อนุรักษ์ ผู้รักษาถ้ำไว้ ชาวบ้านส่วนมากยังเกรงใจพระสงฆ์ จึงไม่ค่อยมีใครนำหินงอกหินย้อยออกไปจากถ้ำ ความงามจึงยังคงดำรงอยู่
หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้กันพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็นพระอุโบสถมีการกำหนดเขตเพื่อทำการบรรพชาอุปสมบทได้ มีพื้นที่บางส่วนทำเป็นเหมือนกุฏิพระสงฆ์สำหรับการบำเพ็ญสมาธิภาวนา มีเตียงว่างเปล่าหนึ่งอัน มีที่สำหรับกางกลดเพื่อป้องกันยุงที่อาจจะเผลอหลงเข้าไปในถ้ำ สถานที่เงียบสงบ ผู้คนส่วนมากจะเข้าไปไม่ถึง ทางเข้าสลับซับซ้อน นานๆจะมีพระภิกษุที่ชอบความสงัดมาพักพาอาศัยสักครั้ง
สมัยหนึ่งผู้เขียนเคยเข้าไปพักประจำที่ถ้ำพิเศษแห่งนี้ อากาศเย็นสบาย มืดสนิทเหมือนกับว่าโลกนี้มีแต่กลางคืนเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด แต่ทว่าในความมืดมิดนั้นกลับมีความสงบ กุฏิในถ้ำหลังนั้นยังอยู่หรือไม่ยังไม่ได้เอ่ยปากถมหลวงพ่อเจ้าอาวาส ครั้งนี้มีเวลาจำกัดจึงยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมกุฏิน้อยในถ้ำลึกลับแห่งนั้น
ในถ้ำมักจะมีซอกเล็กซอกน้อยที่ผู้คนยังค้นหาไม่พบ แต่หากใครคิดที่จะสำรวจถ้ำทุกซอกทุกมุม คงต้องใช้เวลาหลายปี ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ก็ไม่ได้แตกต่างจากถ้ำมากนัก มีแง่มุมที่แม้จะศึกษาค้นคว้าด้วยสรรพสาขาวิชา แต่ก็ยังมีมุมลึกลับซ่อนเร้นที่ปัญญาของมนุษย์ศึกษาค้นคว้าไปไม่ถึง โรคบางโรคแม้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังหาทางรักษาไม่ได้
ในพระพุทธศาสนาเปรียบร่างกายของมนุษย์เหมือนถ้ำ จิตอาศัยอยู่ในกายคือถ้ำ หากผู้ใดเข้าใจเรื่องของจิตที่มักจะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆได้ ผู้นั้นก็พ้นจากบ่วงแห่งมารได้ดังที่แสดงไว้ใน จิตตวรรค ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท (25/13/20) ความว่า
“ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา”
แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตอันไปในที่ไกล ดวงเดียวเที่ยวไป หาสรีระมิได้ มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร”
เรื่องของจิต เรื่องของความคิดนั้น มักจะอยู่นอกเหนือจากอำนาจการควบคุม ห้ามจิตใจไม่ให้คิด ก็ยิ่งหาทางคิด อยู่ในที่หนึ่ง แต่จิตใจมักจะเตลิดไปในอีกสถานที่หนึ่ง ห้ามจิตไม่ให้คิดนั้นยากยิ่งนัก กายอยู่ในถ้ำแต่จิตใจกลับเตลิดไปไกล บางแห่งเป็นสถานที่เคยไป แต่บางแห่งไม่เคยพานพบมาก่อนเลย จิตเอ๋ยเจ้าช่างห้ามได้ยากยิ่งนัก แม้จะมาอยู่ในป่า ภูผาและถ้ำแล้ว ไม่มีสิ่งแวดล้อมอื่นให้กังวล อยู่ผู้เดียวในถ้ำ แต่ก็ห้ามจิตไม่ให้คิดไม่ได้
บางเสี้ยวแห่งกาลเวลาจิตพาท่องเที่ยวไปในโลกกว้างห่วงตัวเองคิดเล่นๆออกมาเป็นบทกลอนได้ว่า “เออสิ...มาอยู่ไยในโลกนี้ ชีวิตมีทางไปไยไม่ทำ มัวแต่คิดมัวแต่เพลินเดินหลงทาง จึงเคว้งคว้างลอยวนคนหนอคน”
ณ ห้วงเวลาในปัจจุบันชีวิตน่าจะพอแล้ว เรียนมามากแล้ว ศึกษามามากแล้ว แต่ทำไมไม่ลงมือปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา มัวทำอะไรอยู่ ทางชีวิตข้างหน้าเหลืออีกไม่มากแล้ว หากมัวแต่หลงระเริงมัวเมาในความไม่มีโรค มัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อยู่อย่างนี้ ชีวิตก็เหมือนเดินวนเวียนอยู่ในถ้ำที่มืดมิดหาทางออกสู่แสงสว่างไม่พบ
ถ้ำภายนอกพอจะสำรวรตรวจตราค้นหาได้ เข้าใจได้ แต่ถ้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของจิตอยู่กับตัวเรามานานตั้งแต่เกิด แต่ทว่าทำไมกลับยิ่งสำรวจ ย่ิงค้นหาเหมือนจะมืดมิด มีความลึกลับซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้
ช่วงหนึ่งในถ้ำจู่ๆไฟฟ้าก็ดับขึ้นมาเฉย อาณาบริเวณจึงมีแต่ความมืด คงมีพระภิกษุบางรูปเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ในถ้ำแล้วจึงปิดไฟ ยังดีที่ก่อนเข้าถ้ำเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ไฟฟ้าดับก็ไม่มีปัญหาอะไร คิดอีกมุมหนึ่งก็ดีเสียอีก จะได้อยู่ในถ้ำที่มืดมิด ไม่มีใครมารบกวน อยู่คนเดียวในความมืดในถ้ำลึก แต่กลับรู้สึกว่าถ้ำไม่ได้มืด เพียงแต่มองไม่เห็นเท่านั้นเอง แต่กลับมองเห้นจิตใจตัวเองที่ย้อนกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
ชีวิตมีเท่านี้จะแข่งดีแข่งเด่นกับใครคนอื่นเขาไปทำไมกัน ทำความดีเพื่อตนบ้าง หาความสงบให้แก่ตนบ้าง นั่นคือทางที่พระบรมศาสดาพร่ำสอนไว้มิใช่หรือ จิตใจหยุดท่องเที่ยวชั่วคราวกลับมานิ่งสงบภายในถ้ำที่มืดสนิท นานเท่าใดไม่ได้กำหนด แต่พอออกจากถ้ำได้เวลาก็เข้าสู่สายัณหสมัยแล้ว
สายลมโชยมาแผ่วเบา อากาศกำลังเย็นสบาย ใจก็สงบ แม้จะไม่พานพบผู้ใดก็ไม่ได้รู้สึกเปลี่ยวเหงา โลกจะเป็นเช่นใดก็เป็นเรื่องของชาวโลก ย่อมเป็นไปตามกระแสโลก ห่วงใยไปก็เท่านั้น กังวลไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ปล่อยให้โลกเป็นไปตามโลก ปล่อยวางเสียได้สบายใจ คอยดูจิตไม่ให้คิดไปตามกระแสโลก สำรวมระวังจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ความสงบสุขก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร พึ่งตนได้ใจเป็นสุข เสียงค้างคาวกระพือปีก เสียงนกร้องระงมไพร สรรพสำเนียงเริ่มกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติของป่าอีกครั้ง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
17/04/58