ยามเช้าในท่ามกลางอากาศเย็นสบายกลางเดือนเมษายน เหมือนยกห้องแอร์มาไว้ที่กุฎิน้อยกลางป่า เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมเหมือนกับมีวงดนตรีวงใหญ่มาบรรเลงบทเพลงกล่อมนอน เป็นบทเพลงแห่งธรรมชาติที่นักร้องต่างฝ่ายต่างร้อง แต่ทว่าก่อให้เกิดท่วงทำนองเหมือนมโหรีวงใหญ่มีเครื่องดนตรีหลายชนิดมารวมกัน ต่างฝ่ายต่างก็เป็นผู้ชำนาญในสาขาที่ตนถนัด จึงเกิดเป็นบทเพลงลำนำแห่งป่า ใต้ภูผาชะง่อนถ้ำที่ฝูงค้างคาวกำลังโผผินบินกลับคืบสู่คูหา สวนทางกับสกุณาอีกหลายพันธุ์ที่กำลังตื่นจากหลับใหลมุ่งสู่ป่าเพื่อแสวงหาอาหาร
ตื่นขึ้นมาในยามเช้าที่อากาศเย็นสบาย ชำเลืองดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้างห้องเวลาตีสี่กว่าๆ มีเวลาอีกนานกว่าจะสว่าง ได้ยินเสียงพระภิกษุทำวัตรสวดมนต์แว่วมาจากศาลาการเปรียญ ที่นี่ทำวัตรเช้าตอนตีสี่ครึ่ง สำเนียงเสียงสวดมนต์เหมือนการพร่ำบ่นพระคาถาสาธยายพระธรรมเพื่อน้อมนำสู่การปฏิบัติ เดินตามแนวแห่งคำสอนของพระบรมศาสดาหน้าที่ของพระภิกษุกล่าวโดยสรุปคือ “ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติ สันทัดในการสอน ไม่สั่นคลอนศรัทธา” ธุระในพระพุทธศาสนาระบุไว้สองประการคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
คันถธุระ หมายถึงการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ สมัยก่อนเรียนนักธรรมบาลีปัจจุบันการศึกษาของพระภิกษุสามเณรมีเพิ่มเข้ามาคือแผนกปริยัติสามัญ มีมหาวิทยาลัยสำหรับคณะสงฆ์ไทยสอนถึงระดับปริญญาเอก สมัยก่อนหากจะเรียนหนังสือก็ต้องเลือกอาจารย์ผู้ชำนาญการในสาขาใดสาขาหนึ่ง บางท่านชำนาญในการเทศน์ หากไปอยู่ในสำนักของอาจารย์ท่านนั้นก็ต้องเรียนเพื่อเป็นนักเทศน์ หากอาจารย์เป็นผู้ชำนาญทางคัมภีร์บาลีก็เรียนบาลี เขียนตำรับตำราไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เช่นสมัยล้านนามีพระภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มากมาย ตำราบางเล่มยังใช้เป็นตำราเรียนสำหรับพระภิกษุในปัจจุบันเช่นมังคลัตถทีปนี แต่งโดยพระสิริมังคลาจารย์ ปัจจุบันยังใช้เป็นตำราเรียนของนักศึกษาแผนกบาลีชั้นประโยคเปรียญธรรม 4 เปรียญธรรม 5 และเปรียญธรรม 7 ส่วนคัมภีร์เล่มอื่นๆก็ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาเช่นจักรวาลทีปนี สังขยาปกาสินี เป็นต้น ในสมัยก่อนจึงมีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนามากมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาที่เรียกว่าคันถธุระนั่นเอง
วิปัสสนาธุระ เป็นภาคปฏิบัติหลังจากที่ได้ศึกษามาพอสมควร พระนักวิปัสสนามักจะเป็นพระเถระที่มีอายุมากแล้ว เคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาก่อน จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติตามหลักการที่ตนได้ศึกษาเล่าเรียนมา ในอดีตมีพระนักวิปัสสนาจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพราะภูมิประเทศยังมีป่าเขาลำเนาไพรที่เงียบสงัดเหมาะกับการปฏิบัติ สมัยหนึ่งมักจะมีคำเรียกพระวิปัสสนาว่า “พระกรรมฐาน” เช่นหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงตามมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น พระภิกษุที่ดำเนินตามแนวทางนี้ แม้จะศึกษาเล่าเรียนไม่มาก แต่ก็มีความรู้มาก เป็นความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติมุ่งสู่วิมุตติธรรมความหลุดพ้น ครูบาอาจารย์ที่เดินทางนี้จึงมีผู้คนศรัทธาเลื่อมใสมาก เพราะอยากฟังธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติ
ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระมีเส้นทางมุ่งสู่จุดหมายเดียวกันคือปฏิเวธ ในพระพุทธศาสนาได้จัดลำดับของการศึกษาไว้สามประการคือ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ปฏิเวธเป็นผลจากการปฏิบัติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา หากยังพอมีความหวัง มีความเพียรเพียงพอ ก็สามารถดำเนินสู่ปฏิเวธได้
ที่วัดป่าแห่งนี้ได้บอกกับเจ้าอาวาสว่าผมมาเยี่ยมโยมแม่ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ตอนเช้ายังพอออกโคจรบิณฑบาตได้ นอกจากนั้นยังมาเพื่อปฏิบัติธรรม กิจกรรมบางอย่างอาจจะไม่ได้เข้าร่วม ดังนั้นจึงมีเวลาที่ได้พบกับเพื่อนสหธรรมิกทั้งพระภิกษุสามเณรเพียงวันละครั้งคือช่วงเวลาที่ออกบิณฑบาตและเวลาฉันภัตตาหารเท่านั้น ส่วนเวลาอื่นนอกจากนั้นเป็นช่วงที่ขึ้นไปอยู่บนภูเขาสูง ห่างไกลจากผู้คน ไม่มีใครมารบกวนเลย จึงมีเวลาอยู่กับตัวเองตั้งแต่ฉันภัตตาหารเสร็จจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน
กลางวันอากาศร้อนก็เดินเล่นตามราวป่าฟังเสียงนกเสียงสัตว์ป่าตามประสาของสัตว์ มีทางเดินจงกรมอยู่ข้างๆกุฏิเดินจงกรมหลังอาหารพออาหารย่อยหายง่วงก็นั่งพินิจพิจารณาตนเอง กำหนดลมหายใจเข้าออกโดยมีคำภาวนาว่า “พุทโธ” เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ได้กำหนด จนถึงบ่ายคล้อยก็ถือกล้องเดินเล่นตามราวป่าถ่ายภาพต้นไม้ใบหญ้าบางครั้งแม้แต่ต้นไม้ก็เป็นอุปกรณ์ในการศึกษาได้
เมื่อปีใหม่เคยมาพักที่กุฏิหลังนี้ ดอกไม้กำลังเบ่งบาน ป่าไม้งดงามเป็นอย่างยิ่ง มวลบุปผานานาพรรณผลิดอกออกใบเขียวชะอุ่มดูแล้วชุ่มชื่นในจิตใจ แต่พอกาลเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนดอกไม้ต้นเก่าก็เริ่มเหี่ยวเฉา ใบสดก็เหี่ยวแห้ง ดอกที่เคยเบ่งบานก็โรยรา ป่าที่เคยร่มรื่นด้วยแมกไม้สีเขียว ก็กลับกลายเป็นป่าเปลี่ยวที่ใบไม้เริ่มแห้งและร่งโรย
ต้นดอกเครือออนสีม่วงที่เคยเบ่งบานเป็นเหมือนราชินีแห่งราวป่าเมื่อต้นปี บัดนี้ก็เหลือแต่กิ่งก้านที่แห้งเหี่ยว มีเพียงดอกแห้งบางดอกเท่านั้นที่ยังไม่วางต้น แต่ก็เป็นดอกไม้แห้งที่พร้อมจะร่วงหล่นลงบนปฐพีได้ทุกเวลา บางต้นกำลังแตกต้นอ่อนแซมกับกิ่งใบที่กำลังเหี่ยวแห้ง ก่อให้เกิดความสืบต่อของเผ่าพันธุ์ เหมือนมนุษย์ที่ใครบางคนจากไป ก็มีคนใหม่ขึ้นมาแทน สรรพชีวิตเป็นไปดั่งนี้ คนเก่าจากไปคนใหม่ก็มาแทน โลกจึงยังคงดำรงอยู่ได้นั่นเพราะการสืบต่อ
ชีวิตของมวลมนุษย์ก็คงไม่แตกต่างจากต้นเครือออนเท่าใดนัก เมื่อยังเป็นหนุ่สาวยังสดใสใคร่รู้มองดูก็งดงาม จะคิดจะทำอะไรก็มีความหวัง เหมือนดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบานย่อมเป็นสิ่งล่อแมลงให้มาหลง วัยหนุ่มสาวจะทำอะไรก็มีความเพลิดเพลินสนุกสนาน
แต่พอถึงวัยแก่ชราร่างกายก็อ่อนล้า แรงก็น้อย จะคิดจะทำอะไรก็เชื่องช้าอืดอาดไม่ทันใจ โรคภัยก็เบียดเบียน เจ็บนิดป่วยหน่อยคอยกังวลอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไม่นานก็ร่วง แต่ต้นไม้มีเวลาสั้น หากสังเกตให้ดีก็ได้เห็นในเวลาไม่นาน แต่ทว่าชีวิตมนุษย์มีเวลาหลายปีกว่าที่จะมองเห็นความเปลี่ยนผ่านจากวัยหนุ่มสาวเข้าสู่วัยชรา บางครั้งก็สังเกตไม่ทัน มองไม่ค่อยเห็นความเป็นไป แต่ทว่าธรรมชาติไม่เคยรอใครยังคงแปรเปลี่ยนไปตามวันเวลา
คิดถึงกลอนเก่าบทหนึ่งว่า “วันนี้รุ่งพรุ่งนี้ร่วงดวงไม่แน่ วันนี้แย่พรุ่งนี้ยังกลับดังได้
วันนี้ดังพรุ่งนี้ดับกลับเปลี่ยนไป โปรดจำไว้ทุกชีวิตอนิจจัง”
คนประพันธ์ไม่รู้เป็นใคร แต่นับว่าเข้าใจเรื่องของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดียิ่ง
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนจริงๆ สรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง หากไม่พินิจพิจารณาก็จะมองไม่เห็นความเป็นไปของธรรมชาติ ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกันเปลี่ยนแปลงทุกเวลานาที แก่ขึ้นทุกวัน เดินเข้าใกล้มัจจุราชทุกนาที อย่าได้ชะล่าใจในความสุขเล็กน้อย จนหลงลืมความสุขที่แท้จริงนั่นคือความสงบสันติ ชีวิตหากมองโดยผิวเผินอาจจะมดูเหมือนว่ามาก แต่ความจริงชีวิตคนนั้นสั้นนัก
กาลครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ตอบคำถามของเทวาดาถึงเรื่องของชีวิต ดังที่แสดงไว้ในอุปเนยยสูตร สังยุตตนิกายสคาถวรรค(15/8/3) ความว่า “ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “อุปนียติ ชีวิตมปฺปมายุง ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา
เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน โลกามิส ปชเห สนฺติเปกฺโข”
เพลาเย็นก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้ายังพอมีเวลามานั่งเขียนบันทึกประจำวัน ในท่ามกลางบรรยายแห่งความเปล่าเปลี่ยว เหมือนดั่งมีเราอยู่เพียงคนเดียวในป่าใหญ่ เสียงสกุณาร้องระงมไพรคงได้เวลาคืนกลับสู่รวงรังแล้ว เหมือนอาตมาที่มาพำนักเดียวดายในวัดป่าแห่งนี้ ตั้งแต่เช้าหลังภัตตาหารแล้ว ก็ไม่ได้พบ ไม่ได้คุยกับใครเลย แต่ไม่ได้เหงา ไม่ได้โศกเศร้า กลับรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขที่อธิบายให้ใครฟังไม่ได้
วันนี้เวลามืดค่ำแล้ว ยังคงมีลมหายใจ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป คิดถึงกลอนบทนั้นขึ้นมา ขออนุญาตเปลี่ยนเสียใหม่ ตามอารมณ์ฝันของวันเวลาในป่าเปลี่ยวอันแสนเดียวดายว่า “ก่อนเคยรุ่งวันนี้ร่วงดวงไม่แน่ วันนี้แพ้พรุ่งนี้ยังมีหวังได้
วันก่อนดังวันนี้ดับกลับเปลี่ยนไป จงจำไว้ คือชีวิต อนิจจัง”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
16/04/58