ใกล้วันแห่งความรักก็ยังนึกไม่อออกบอกไม่ได้ว่าจะอธิบายความรักว่าอย่างไรดี รักคือความทุกข์ รักคือการให้ รักคือการเสียสละ หรือรักคือความสุข ตอบได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับว่าใครกำลังอยู่ในอารมณ์ประเภทใด หากความรักหมายถึงการครอบครองก็ต้องเตรียมพร้อมยอมทำใจที่จะต้องยอมรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากความรัก อาจสมหวังหรืออาจเศร้าโศกทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย นึกอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ได้อารมณ์เหงาๆซึมๆไปตามบรรยากาศ หยิบหนังสือนิยายมาอ่านเล่นใต้อาคารบัณฑิตวิทยาลัยในวันที่อากาศแห้งแล้ง เป็นนวนิยายในโครงการ “วรรณกรรมเพื่ออาเซียน เรื่อง “รักในม่านฝน” ผลงานการประพันธ์ของประภัสสร เสวิกุล เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เวียดนาม อ่านได้เพียงสองสามหน้า ก็มีเสียงทักทายมาจากด้านหลังว่า “อาจารย์กำลังอ่านเรื่องอะไร”
หันกลับไปดูเป็นนักศึกษาหญิงจากภาควิชาปรัชญาคนหนึ่งที่เคยสอนวิชาปรัชญามาเมื่อปีก่อน เธอยกมือไหว้ และกำลังส่งยิ้มให้อย่างต้องการคำตอบ จึงยื่นหน้าปกให้ดู นักศึกษาคนนั้นก็ออกอุทานว่า “พระอาจารย์อ่านนิยายรักเป็นด้วย”
จึงต้องออกตัวว่า “แหมก็อ่านเล่นเพลินๆ อ่านแต่งานวิชาการมานานก็เบื่อบ้างสิ หนังสือมีอารมณ์ต่างกัน หนังสือประเภทวิชาการมีไว้เพื่อเพิ่มพูนปัญญา ส่วนนวนิยายเป็นการสร้างจินตนาการ ไม่เคยได้ยินอัลเบิร์ต ไอสไตน์พูดไว้หรือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”
“เคยได้ยินคะ แต่ไม่เคยคิดว่าอาจารย์สอนวิชาทางด้านศาสนาปรัชญาจะหันมาสนใจอ่านนวนิยาย ถ้าอาจารย์อ่านหนังสือประเภทปรัชญาชีวิต ประวัติศาสนา ศาสนาประเภทนั้น หนูจะไม่รู้สึกแปลกใจเลย แต่นี่อะไรอาจารย์อ่านนิยายรัก”
“ความรักนะเป็นสิ่งที่ดีงาม ผู้ที่มีความรักในหัวใจ ก็เหมือนนั่งผิงไฟในฤดูหนาว”
“ขอโทษเถอะท่านอาจารย์เคยมีความรักบ้างไหมค่ะ” จู่ๆนักศึกษาหญิงคนนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาดื้อๆ
“หมายถึงรักประเภทไหน ถ้าความรักทั่วไปนะพอมี แต่หากจะตีความเรื่องความรักประเภทหนุ่มสาว ต้องขออภัย ความรักประเภทนั้นหายสาบสูญไปจากจิตใจมานานนักหนาแล้ว ตอนนี้หันมารักตนเองมากกว่าที่จะคิดไปรักใคร ช่วงวัยแห่งชีวิตเข้าใกล้วัยใกล้ฝั่ง ถึงจะมีความหลังก็ต้องฝังทิ้ง
“ใกล้วันแห่งความรักแล้ว ท่าอาจารย์มีคำแนะนำอะไรเกี่ยวกับความรักบ้างไหมค่ะ”
“แหมจะให้คนไม่มีความรักไปอธิบายเรื่องความรักนั้นดูกระไรอยู่”
ขออธิบายสั้นๆก็แล้วกันนะ “ความรักคือความทุกข์” โบราณว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ไม่เคยได้ยินหรือ หากยังไม่แน่ใจก็อย่าพึ่งไปรักใครในวัยเรียน เรียนให้จบก่อนค่อยคิดก็ยังไม่สาย รักเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อมีงานทำที่มั่นคง ความรักก็จะตามมาเอง รักในวัยเรียนเหมือนนั่งเกวียนในทางกันดาร”
กลับเข้าห้องทำงานวางหนังสือ “รักในม่านฝน” ไว้ชั่วคราว เพราะมีงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษารอให้อ่านอยู่สองสามเรื่อง เรื่องหนึ่งมีกำหนดสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจำเป็นต้องอ่าน อ่านไปได้สักพักก็มีเสียงเคาะประตู กสิกะ ชินกรณ์ อาจารย์หนุ่มเปิดประตูเข้ามาพอดี
“หลวงตาครับ ผมขอเวลาสักประเดี๋ยว คืออย่างนี้นะครับ ผมมีเรื่องขอรบกวน ผมอยากทราบว่าคำว่า “ตนเองเป็นที่รักของตน” มาจากพระสูตรไหนครับ
เนื่องจากกำลังเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์จึงค้นหาได้ทันที มาจากนัตถิปุตตสมสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค(15/29/9) ความว่า “นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ” แปลว่า “ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี”
และอีกคำหนึ่งมีความหมายใกล้เคียงกันในราชสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ (25/110/145 “ใครๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆ ไม่เลย สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น”
คำว่า “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี” นั้นมีอธิบายไว้ในอรรถกถาว่า “สัตว์ทั้งหลายละทิ้งปิยชนทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นก็มี ละทิ้งบุตรธิดาเป็นต้นให้พำนักอยู่ย่อมหาเลี้ยงชีวิตตนนั่นแหละก็มี” เพื่อชีวิตของตนถึงคราวลำบากก็ต้องเอาชีวิตรอดปลอดภัยไว้ก่อน บางครั้งแม้แต่บิดามารดาที่เป็นที่รักของตนก็อาจจะต้องทอดทิ้งได้ เพื่อให้ตนได้อยู่รอด
“ขอบพระคุณมากครับ ผมกราบลาหละครับ เดี๋ยวหลวงตาจะได้ทำงาน”
“เดี๋ยวก่อนสิ มันเรื่องอะไรกัน จู่ๆก็เดินมาถามเห็นหลวงตาเป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่หรืออย่างไร รู้แล้วไม่ตรวจทานก่อนหรือ คุยกันก่อน กำลังปลูกต้นรักหรือยังไง”
กสิกะ ชินากรณ์ ทำสีหน้าเจื่อนๆ “คือมันอธิบายไม่ถูกนะครับ จะบอกว่ารักก็ไม่ค่อยแน่ใจ ครั้นจะบอกว่าไม่รักก็ยังตอบได้ไม่เต็มเสียง ความรักมันอธิบายยากจริงๆครับ”
“เอาเถอะคนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องมีความรักบ้าง รักตัวเองนะหมายถึงตัวเราเป็นที่รักที่จะต้องคอยดูแลทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ ส่วนความรักคนอื่นหากทำได้เหมือนกับที่เรารักตัวเราเองก็ไม่มีอะไรเสียหาย โลกนี้อยู่ได้เพราะความรัก หากคนทั้งโลกมีแต่การวางเฉยปั้นหน้าเข้าหากัน ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งโลก โลกนี้คงหดหู่น่าดู”
กสิกะ เหลือบมองเห็นหนังสือ “รักในม่านฝน” วางอยู่บนโต๊ะจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลวงตาก็อ่านนิยายรักด้วยหรือครับ อย่าบอกนะว่าหลวงตาก็มีความรัก
“อ่านไปอย่างนั้นแหละ เรื่องของความรักมันติดปีกบินหนีไปนานกว่าสามสิบปีแล้ว หากเป็นไฟก็เหลือแต่กองฟอน ไม่มีฟืนที่จะทำให้ไฟติดขึ้นมาได้หรอก”
กสิกะ กลับไปแล้วแต่หลวงตาตามที่กสิกะเรียกกลับไม่มีอารมณ์จะทำอะไรได้ จึงหยิบหนังสือ “รักในม่านฝน” อ่านต่อไป
เรื่องของความรักมีหลายประเภท หากจะรักใครสักคน รักด้วยหัวใจ รักด้วยความเสียสละ รักนั้นก็ยืนยงคงอยู่ในจิตใจเราเอง ตราบนานเท่านาน พยายามถามตัวเองว่าเราเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกเมื่อไหร่ และรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ หรือว่าใจเราด้านชาด้วยความรักแล้วจริงๆ จนรักใครไม่เป็นหรือเพราะรักใครไม่ได้
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามความรักทำให้โลกสดใส หากจะรักใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ทว่าคำนิยามความรักที่แท้จริงก็ยังไม่มีใครให้คำนิยามที่ชัดเจนได้ ในพระพุทธศาสนามีคำสอนว่าเกี่ยวกับความรักไว้ตอนหนึ่งในปิยวรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท(25/26/30) ความว่า “ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน” ไม่รักก็ไม่โศก ไม่รักก็ไม่มีภัย แต่หากใครจะรักก็ต้องทำใจที่จะยอมรับความโศก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
12/02/58