แม้จะไม่ค่อยสนใจการเมืองมาก่อน แต่ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาได้เห็นข่าว อ่านข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่เปิดการปราศรัยทุกวัน ก็ทำให้การเมืองแทรกเข้ามาในจิตวิญญาณ แต่ก่อนก็ไม่เท่าไหร่ อยากฟังอยากดูเมื่อใดก็เปิดโทรทัศน์ หรือเปิดเว็บไซต์ดูข่าวประจำวันก็ผ่านไป แต่เมื่อสื่อต่างๆในประเทศไทยถูกปิดหมดก็ทำให้เรื่องของการเมืองกลายเป็นประเด็นร้อนที่อยากค้นหาคำตอบขึ้นมา ธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่งคือยิ่งปิดกั้น ยิ่งต้องแสวงหา ตราบใดที่รัฐยังปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ตราบนั้นเขาก็ต้องหาทางรับรู้ข่าวสารมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้คนไทยจึงได้แต่ฟังเรื่อง “พูดดีใส่ตัว พูดชั่วให้คนอื่น” ทำไมคนเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนมีเดือนกันคนละดวง หากไม่พูดกันไม่ทางรู้เรื่อง การพูดจากันนั้นสามารถแก้ความเข้าใจผิดกันได้ หากไม่พูดกันเลยจะรู้เรื่องได้อย่างไรกัน “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” เหมือนกับผู้ชุมนุมกับรัฐบาลในวันนี้ซึ่งมองไปคนละทาง
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการไม่พูดจากกันแล้วทำให้เข้าใจผิดไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 4 หน้าที่ 110 สรุปว่า “ในอดีตมีพระเถระสองรูปอยู่จำพรรษาด้วยกันในวัดป่าแห่งหนึ่ง รูปหนึ่งมีอายุ 60 ปี อีกรูปหนึ่งอายุ 59 ปี พระเถระทั้งสองนับถือเคารพซึ่งกันและกัน รูปที่มีอายุน้อยกว่าทำหน้าที่เหมือนสามเณรคอยดูแลอุปัฏฐากอีกรูปหนึ่ง อยู่ร่วมกันมานานไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันเลย เพราะหากมีปัญหาก็จะสอบถามสนทนาจนสามารถเข้าใจกันได้ พระเถระทั้งสองรูปจึงอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
อยู่มาวันหนึ่งมีพระธรรมกถึก(พระนักเทศน์) พูดจาดี อธิบายธรรมะได้แจ่มแจ้งเดินทางมาถึงวัดแห่งนั้น พระเถระทั้งสองจึงเชื้อเชิญให้พระนักเทศน์แสดงธรรมให้ฟัง ซึ่งท่านแสดงได้อย่างไพเราะจับใจ เข้าใจง่าย จึงได้นิมนต์ให้แสดงธรรมให้แก่พุทธศาสนิกชนในหมู่บ้านป่าแห่งนั้นได้รับฟัง ญาติโยมชอบใจได้นิมนต์ให้พระนักเทศน์อยู่จำพรรษา พระเถระทั้งสองก็ดูแลเอาใจใส่สอบถามมิให้ขาดตกบกพร่อง
พระนักเทศน์เมื่อได้ที่อยู่อันสบายก็เกิดความโลภในที่อยู่ อยากอยู่คนเดียว เพราะญาติโยมทั้งหลายยังเคารพพระเถระแก่ทั้งสองรูปมากกว่าตนเอง ทั้งๆที่ท่านทั้งสองเทศน์หรือแสดงธรรมไม่เก่ง ความคิดอันเป็นอกุศลเข้าครอบงำจิตใจ จึงวางแผนหาเรื่องให้พระเถระทั้งสองเข้าใจผิดกัน วันแรกเข้าไปหาพระเถระแล้วแกล้งบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย แต่เมื่อถูกถามว่าเรื่องอะไรก็ทำเป็นอ้ำอึ้งไม่อยากพูด ทำเป็นคิดหน่อยหนึ่งแล้วพูดว่า "ท่านผู้เจริญขึ้นชื่อว่าการพูดมีโทษมาก" วันนั้นไม่พูดอะไรแล้วก็ลากลับ
อีกวันต่อมาก็เข้าไปหาพระอีกรูปหนึ่ง(อายุ 59ปี)ทำกิริยาอาการเหมือนวันแรก พูดเหมือนกับที่เคยพูดกับพระเถระเมื่อวันก่อนแล้วก็ลากลับ พระนักเทศน์ทำอยู่อย่างนี้หลายวัน จนก่อให้เกิดความสงสัยให้แก่พระเจ้าถิ่นทั้งสองรูป จนกระทั่งหลายวันต่อมาจึงได้พูดกับพระเถระรูปที่มีอายุ 60ปีว่า “ผมไม่อยากพูด แต่อยากถามว่าทำไมพระอีกรูปหนึ่งจึงไม่ชอบท่าน และบอกกับผมว่า พระมหาเถระรูปนี้ไม่มีความละอาย ไม่มีศีล ท่านควรพิจารณาแล้วจึงคบหาเถิด ท่านพูดกับผม ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง
วันต่อมาก็เข้าไปหาพระที่มีอายุ 59 ปี แล้วพูดเหมือนกับที่พูดกับพระเถระในวันก่อน พระทั้งสองรูปได้ฟังวาจาของพระนักเทศน์ต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าอีกรูปพูดอย่างนั้นจริงๆ จากนั้นมาก็เริ่มไม่มองหน้ากัน ไม่พูดจากัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ เมื่อไม่เจรจากันก็ย่อมไม่เข้าใจกัน ความคิดเห็นผิดเมื่อมีมากเข้าจึงไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้ ในที่สุดก็แยกย้ายกันไปคนละทาง พระนักเทศน์จึงได้ครอบครองวัดตามเจตนาร้ายที่วางแผนไว้ คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้คนผิดใจกันได้ นี่เรียกว่า "พูดให้ช้ำ ทำให้เคือง"
พระเถระทั้งสองรูปเฝ้าคิดและถามตนเองในใจว่าทำไมพระภิกษุที่อยู่ร่วมกันมาหลายปี รักกันเหมือนพี่น้อง ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน ไม่เคยผิดใจกันมาก่อนจึงได้พูดกับพระนักเทศน์ที่พึ่งเห็นหน้ากันเพียงไม่กี่วัน มัวแต่เฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ การบำเพ็ญสมณธรรมก็ไม่ก้าวหน้า เพราะถูกความคิดความเข้าใจเข้าครอบงำ สิบปีผ่านไปในที่สุดทนความเร่าร้อนแห่งความคิดที่แผดเผาไม่ไหว พระเถระทั้งสองรูปจึงตัดสินว่าจะต้องคุยกัน เจรจากันให้รู้เรื่อง วันหนึ่งจึงเดินทางกลับมาที่วัดตั้งใจว่าจะเปิดการเจรจาให้รู้เรื่อง พระทั้งสองรูปมาพบกันที่ศาลาพักร้อนแห่งหนึ่งจึงได้เข้าไปหากันเพื่อจะสอบถามให้รู้เรื่อง พอเริ่มคุยกันเท่านั้น จึงรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดนั้นมาจากคำพูดของพระนักเทศน์ที่ต้องการทำให้พระเถระทั้งแตกแยกกัน
เมื่อปรับความเข้าใจกันแล้วจึงเดินทางกลับวัดเดิม พระนักเทศน์เห็นพระเถระทั้งสองเดินทางมาด้วยกันก็รีบเก็บของเผ่นออกทางหลังวัด เพราะเข้าใจเหตุการณ์ดี สิบปีที่เป็นเจ้าอาวาสแม้จะมีคนเลื่อมใสศรัทธามาก มีผู้มาทำบุญมาก แต่ก็ไม่ทำให้สิ่งที่ตนเองกระทำกับพระเถระทั้งสองนั้นเหือดหายไปได้ ความชั่วที่ทำกรรมที่ก่อก็เป็นเหมือนไฟที่แผดเผาใจมาโดยตลอด
พระนักเทศน์เมื่อเสียชีวิตก็ได้ไปเกิดเป็นเปรตตนหนึ่งเรียกว่าเปรตสุกร มีร่างกายใหญ่ยาวรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีศีรษะเหมือนสุกร มีหางเกิดที่ปาก มีหมู่หนอนไหลออกจากปาก พระมหาโมคคัลลานะไปพบเข้า จึงได้นำสิ่งที่เห็นไปถามพระพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ก็ทรงรับรองว่าเปรตตนนั้นเคยเกิดเป็นพระนักเทศน์รูปหนึ่งทำการยุยงให้พระเถระสองรูปแตกสามัคคีกัน และได้แสดงธรรมเป็นคติเตือนใจให้คนทำดีไว้ในขุททกนิกาย ธรรมบท(25/30/52)ว่า"บุคคลผู้มีปกติรักษาวาจา สำรวมดีแล้วด้วยใจและไม่ควรทำอกุศลด้วยกาย พึงยังกรรมบถทั้งสามเหล่านี้ให้หมดจด พึงยินดีทางที่ท่านผู้แสวงหาคุณประกาศแล้ว" การรักษาวาจากอาจสรุปได้ง่ายๆว่า “ไม่พูดให้ใครช้ำ ไม่ทำให้ใครเคือง”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งหลายพันปีไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ยังคงวนเวียนเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ได้ชื่อว่าโลกมีความเจริญก้าวหน้ายุคโลกาภิวัตน์ กลุ่มคนเสื้อแดงกับรัฐบาลไทยมีความเห็นไปคนละทาง เปิดเจรจามาสองรอบแล้ว ยังตกลงกันไม่ได้ จึงไม่ยอมเจรจากันอีก ต่างฝ่ายต่างใส่ร้ายป้ายสีซึ่งกันและกันเช่นการยิงระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน ต่างก็โยนความผิดไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ก็ยังหาผู้รับผิดไม่ได้ แต่ละฝ่ายต่างก็พูดให้คนช้ำ ทำให้คนเคืองอยู่แทบตลอดเวลา โยนกันไปโยนกันมา ประชาชนก็สับสน ทำไมไม่เปิดการเจรจากันอีกรอบ การพูดคุยกันอย่างน้อยก็จะได้เข้าใจถูกต้อง จากนั้นจึงหาทางยุติปัญหา เพราะหากปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างพูดกันอย่างนี้ มีแต่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ผู้เสียหายมิใช่ใครนอกจากคนไทยทั้งโลก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
24/04/53