ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

         การที่จะนับว่าเป็นศาสนานั้น องค์ประกอบที่สำคัญประกอบด้วยศาสดา ศาสนธรรม สาวก ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี องค์ศาสดาคือผู้ที่ค้นพบหลักคำสอนแล้วนำมาประกาศชี้แจงให้คนอื่นได้รับรู้ คำสอนคือศาสนธรรมที่ทำให้ผู้ศึกษารู้ว่าศาสนานั้นสอนอะไร เป้าหมายสูงสุดคืออะไร มีวิธีการในการดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างไร เมื่อมีผู้เชื่อตามจึงมีสาวกซึ่งแปลว่าผู้ฟังตาม ผู้ปฏิบัติคำสอนของศาสดา ส่วนศาสนวัตถุเป็นสิ่งเคารพที่เป็นสัญลักษณ์ของแต่ละศาสนา  และพิธีกรรมก็บ่งบอกถึงวิถีปฏิบัติในการดำเนินไปสู่เป้าหมายของแต่ละศาสนา

         ในพระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาผู้ประกาศคำสอน มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์และพุทธสาวกทั้งหลายในอดีต เรียกว่าสังเวชนียสถานซึ่งประกอบด้วยสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพาน พุทธศาสนิกชนหากมีโอกาสควรหาเวลาเดินทางไปนมัสการสักครั้งในชีวิต
         เริ่มต้นปีนี้มีแผนการเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานอินเดีย-เนปาล ร่วมกับบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่จัดโครงการกราบนมัสการสังเวชนียสถานและสัมมนาวิชาการร่วมกับมหาวิทยาลัยในประเทศอินเดีย วันที่ 23-31 มกราคม2558

         การเดินทางไปกราบนมัสการสังเวชนียสถานและสัมมนาวิชาการกับมหาวิทยาลัยในประเทศอินเดีย ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนาและเป็นชาวพุทธ จึงควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปแสวงบุญกราบนมัสการสังเวชนียสถานสักครั้งหนึ่งในชีวิต ดังพระพุทธดำรัสที่แสดงแก่พระอานนท์ ดังที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/131/163) ความว่า “ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถานสี่แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา คือ (1) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ (2) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ (3) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ (4) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม   ระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ สังเวชนียสถาน 4 แห่งนี้แลเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา”


         แม้ว่าพระพุทธองค์จักปรินิพพานไปนานแล้วแต่ก็ยังมีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพุทธองค์ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ซึ่งสถานที่แต่ละแห่งปัจจุบันได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาให้เป็นสถานที่ที่เคยมีอดีตรุ่งเรืองมาก่อน หากผู้ใดเดินทางไปด้วยจิตที่เลื่อมใส ไปด้วยใจที่ศรัทธาแล้ว เชื่อกันว่าจะได้ไปเกิดในสวรรค์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อไปว่า “ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่า    พระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้   ก็ดี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”


         ต้องตีความพระดำรัสที่พระเจ้าแสดงไว้ก่อนปรินิพพานให้ดี “ผู้มีศรัทธา และมีจิตเลื่อมใส” คือต้องเชื่อว่าสถานที่เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ จึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่ หากยังไม่มีศรัทธาก็ควรปลูกศรัทธาให้มั่นคง บางคนเดินทางไปด้วยความสงสัยว่ากาลเวลาผ่านไปตั้งสองพันปีแล้ว จะยังมีหลักฐานปรากฎให้เห็นอยู่จริงได้อย่างไร ตั้งจิตด้วยความเคลือบแคลง จิตก็ไม่เลื่อมใส ใจก็ไม่มีศรัทธา แม้กลับมาแล้วก็ยังไม่หมดความสงสัย แม้จะเดินทางไปถึงสังเวชนียสถานก็ไม่ได้เพิ่มพูนศรัทธาขึ้นเลย
         เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ประสูติก็จะได้เห็นว่าบุคคลผู้เลิศในโลกได้อุบัติขึ้นเพื่อสั่งสอนชาวโลกให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาที่ผูกพันมานาน พระองค์ทรงเปล่งอาสภิวาจา ดังที่ปรากฏในมหาปทานสูตร ทีฆนิกายมหาวรรค (10/26/17) ความว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส  เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส  เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส  อยมนฺติมา  เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ  อยเมตฺถ ธมฺมตา”  แปลเป็นภาษาไทยความว่า “เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มีดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้”  

         เมื่อเดินทางไปที่พุทธคยา สถานที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญจนสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้เห็นความเด็ดเดี่ยว ยอมพลีตนเพื่อการบรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณดังที่แสดงไว้ในทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์ (20/251/48) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า เราเริ่มตั้งความเพียรอันไม่ย่อหย่อนว่าจะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปก็ตามเถิด หากยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเสีย” จะทำอะไรหากตั้งใจแน่วแน่ สิ่งนั้นย่อมจะสำเร็จดังที่ปรารถนา
         เมื่อเดินทางไปยังธัมเมกขสถูปอันเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา ก็มีจิตเลื่อมใสว่าหากพระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงธรรมแล้ว ก็ไม่มีใครได้รู้เห็นตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพราะพระกรุณาคุณที่ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากความทุกข์จึงได้แสดงธรรมไว้ ดังที่ปรากฎในธัมมจักกัปปวัตนสูตร(4//13/15) มีข้อความเริ่มต้นว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ (1) การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน  เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์  (2) การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน  
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน นั้น เป็นไฉน  
         ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์แปดนี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ   ความดำริชอบ  เจรจาชอบ  การงานชอบ  เลี้ยงชีวิตชอบ  พยายามชอบ  ระลึกชอบ   ตั้งจิตชอบ   
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

         เทศนากัณฑ์แรกเป็นการสรุปคำสอนที่สำคัญไว้ในธรรมเทศนาทั้งหมด บอกถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นกับสรรพสัตว์ ที่เกิดแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และแนวทางในการดับทุกข์ เป็นหลักการสำคัญที่แสดงไว้โดยสรุปสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้
         เมื่อทรงประกาศพระศาสนาเป็นเวลาถึง 45 พรรษาก็ต้องวาระสุดท้ายที่สัตว์ทั้งหลายไม่มีทางหนีพ้นพระองค์ทรงปรินิพพานที่ใต้ต้นรังทั้งคู่ เกิดความสลดสังเวชว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดในโลกก็หนี้ไม่พ้นสัจธรรมคือความตายไปได้ มีข้อความที่เหล่าเทวดาทั้งหลายแสดงธรรมเวชดังที่ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร (10/146-147/181) ความว่า “เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการเสด็จ ปรินิพพาน ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือขึ้น    

         เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ ความว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็นศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้าทรงมีพระกำลังยังเสด็จปรินิพพาน”  แปลมาจากภาษาบาลีว่า “สพฺเพ ว นิกฺขิปิสฺสนฺติ  ภูตา โลเก สมุสฺสยํ  ยตฺถ เอตาทิโส สตฺถา โลเก อปฺปฏิปุคฺคโล  ตถาคโต พลปฺปตฺโต  สมฺพุทฺโธ ปรินิพฺพุโตติ”
         การเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดียและเนปาลครั้งนี้เริ่มต้นด้วยจิตที่เลื่อมใส มีใจศรัทธา ปรารถนาจะศึกษาหลักธรรมจากสถานที่สำคัญเหล่านั้น พระพุทธองค์อุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก ตรัสรู้อนุตตรธรรมอันยอดเยี่ยมด้วยความเพียรอันยิ่งยวด แสดงธรรมเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน และจากไปด้วยความสงบ และยังฝากคำสอนสุดท้ายไว้ให้เหล่าสาวกทั้งหลายได้ระลึกนึกถึงเป็นข้อเตือนใจไว้ว่าเป็นปัจฉิมวาจาไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/143/180) ความว่า “ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ภาษาบาลีบันทึกไว้ว่า “อถโข   ภควา   ภิกฺขู   อามนฺเตสิ  หนฺททานิ  ภิกฺขเว  อามนฺตยามิ   โว   วยธมฺมา   สงฺขารา  อปฺปมาเทน  สมฺปาเทถาติ”  อยํ ตถาคตสฺส ปจฺฉิมา วาจา"  เมื่อแสดงพระดำรัสสุดท้ายจบก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

         ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสมีใจศรัทธา เมื่อมีโอกาสได้เดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานสี่ตำบล ปัจจุบันอยู่ในสองประเทศคืออินเดียและเนปาล ก็จะทำให้เกิดความศรัทธามั่นคงในการศึกษาและการปฏิบัติธรรม ต้องขอขอบคุณบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยที่ได้จัดโครงการนมัสการสังเวชนียสถานขึ้นมา ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ไปด้วยจิตที่เลื่อมใส ด้วยใจที่ศรัทธา ส่วนหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้นต้องแล้วแต่ดินฟ้าอากาศ

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
22/01/58

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก