เมื่อเดินเข้าไปในหุบเขาซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่าภูเขาสองลูกมาบรรจบกันกลายเป็นเหมือนช่องว่างระหว่างภูเขา จึงกลายเป็นทำเลที่มีลำธารสายเล็กๆไหลมารวมกัน ก่อเกิดเป็นธารน้ำไหลไปรวมกับลำธารสายอื่นๆที่ซึมมาจากภูเขาลูกอื่นๆ ที่นี่จึงเป็นบริเวณป่าต้นน้ำ มองเห็นกระท่อมหลังเล็กๆอยู่ริมธาร สุนัขสองสามตัวส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล เจ้าของพื้นที่เดินออกมาทักทายและเดินนำพาชมสวนอย่างอารมณ์ดี ไม่เหมือนกับคำเล่าลือของชาวบ้านที่บอกว่า เขาคือผีบ้าแห่งภูเขา
หากมีโอกาสกลับบ้านเมื่อไหร่ นอกจากแม่ครอบครัวญาติพี่น้องแล้ว หากยังพอมีเวลาก็ไม่ลืมที่จะแวะไปเยี่ยม “ลุงสุข” (นามสมมุติ) ชายวัยชราที่อยู่คนเดียวบริเวณต้นลำธารในหุบเขา แม้จะไม่ได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาติสายใดมาก่อน แต่ทว่ากลับรู้สึกคุ้นเคย สนิทสนมกับลุงสุขเป็นอย่างดี ลุงสุขจะมาที่วัดทำหน้าที่เป็นมัคทายก คอยประเคนอาหาร ล้างถ้วย ล้างชาม ทำความสะอาดบริเวณวัด ไม่ค่อยพูดจากลับใคร ถามคำตอบคำ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปตามหน้าที่ บางครั้งไว้ผมยาว หนวดยาว พวกเด็กๆจึงไม่ค่อยเข้าใกล้ แม้ผู้ใหญ่บางคนก็มักจะมีคำเรียกขานชายชราคนนั้นว่า “สุขผีบ้า”
ลุงสุขเคยเล่าให้ฟังว่า “ผมมาอยู่ที่บริเวณป่าต้นน้ำแห่งนี้นานกว่าสี่สิบปีแล้ว มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ตอนนั้นป่ายังรกเดินทางเข้ามาลำบาก ผมปลูกกระท่อมหลังหนึ่งมุงหญ้าคาอยู่ริมธารน้ำเล็กๆที่ไหลมารวมกันก่อนจะรวมตัวกันเป็นแม่น้ำไหลผ่านหมู่บ้านช่วงนั้นป่าต้นน้ำแห่งนี้มักจะมีสัตว์ป่าลงมาหากินอยู่จำนวนมาก อาหารจึงหาง่าย ผมก็เพียงแต่ปลูกมะเขือ พริก ผัก มะละกอ มะพร้าว มะนาว และผลไม้อีกหลากชนิดเท่ามีจะหาเมล็ดพันธุ์ได้ บางต้นก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ก็อยู่ไม่ได้ บางอย่างก็อยู่ได้ ผมมีอาหารคือสัตว์ป่าและผลไม้กินเป็นอาหาร ต่อมาก็ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกข้าว ทำให้ผมมีอยู่มีกิน จะมีเพียงน้ำปลา เกลือ ปลาร้าที่จะต้องนำผักผลไม้ไปแลกมาจากหมู่บ้าน สมัยนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินก็ได้ ใช้ผักแลกเกลือ มะเขือแลกข้าว มะนาวแลกน้ำปลา พออยู่ไปสักพักก็มีผู้คนมาตั้งรกรากอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน มีหลายหลังคาเรือน พวกเขาถางป่าปลูกพืชเพื่อขาย มิใช่เพื่อนพออยู่พอกินอย่างที่ผมดำเนินชีวิตอยู่”
ต่อมาทางราชการได้ออกกฎหมายให้พื้นที่บริเวณป่าต้นน้ำเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงต้องทำการอพยพชาวบ้านที่มาใหม่ออกไปจากพื้นที่ แต่สำหรับผม ผมบอกเจ้าหน้าที่จะไม่ทำอะไรเกินกว่าที่ทำอยู่แล้ว ผมทำหน้าที่อยู่เพื่อรักษาป่าต้นน้ำ มิได้อยู่เพื่อทำลาย อีกอย่างผมอยู่มาก่อนที่จะมีกฎหมายออกมา เจ้าหน้าที่จึงไม่มีสิทธิมาใช้กฎหมายกับผม ผมต่อสู้กับเจ้าหน้าที่อยู่นานหลายปี จนกระทั่งพวกเขาเห็นว่าผมรักษาคำพูดไม่ได้ทำอะไรที่จะเป็นปัญหากับบริเวณป่าแห่งนั้น ผมจึงอยู่ที่นี่เรื่อยมา เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ปีนี้เป็นปีที่สี่สิบสองแล้วครับ อายุผมก็เกินหกสิบปีแล้ว ผมอยู่มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่”
เมื่อถามว่าทำไมไม่แต่งงานมีครอบครับเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ ลุงสุขรีบตอบทันทีว่า “ใครเข้าจะมาอยู่ร่วมกับคนผีบ้าอย่างผมเล่าครับ เมื่อชาวบ้านตราหน้าว่าผมเป็นบ้าแล้ว ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้”
แล้วลุงสุขดำเนินชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างไร
ลุงสุขยิ้มก่อนจะตอบว่า “ความเคยชินครับ ตื่นเช้าบางวันก็ไปที่วัด ทำนั่นทำนี่ กวาดใบไม้ จัดอาหารถวายพระ พอพระฉันเสร็จก็นำอาหารที่เหลือจากพระสงฆ์มาเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมว เลี้ยงปลา เลี้ยงนกนกไม่ได้ขังกรงนะครับ พวกเขามาเอง กินอิ่มก็จากไป สัตว์ป่าประเภทกระรอก กระแต หรือไก่บ้านไก่ป่าที่อยู่ร่วมกันครับ บางครั้งก็แยกไม่ออกว่าตัวไหนคือไก่บ้านตัวไหนคือไก่ป่า แต่พวกเขาแยกกันเองออก ไก่บ้านจะมากินอาหารก่อน ส่วนไก่ป่ามักจะมาเงียบๆกินอิ่มก็หายไปในป่า พวกเขาแยกกันชัดเจน ผมก็ไม่แน่ใจว่าไก่บ้านและไก่ป่าจะคุยกันรู้เรื่องไหม คุยภาษาอะไร ผมพยายามฟังแต่ไม่เคยเข้าใจ”
ถึงตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็เลยเที่ยงไปแล้วครับ ผมเดินดูต้นไม้ ดูผัก ดูหญ้า ตรงไหนรกเกินไปต้องถอนหญ้าทิ้ง น้ำตรงไหนที่มีใบไม้แห้งมาขวางทางลำธารก็นำออก น้ำก็ไหลสะดวก จากนั้นก็อาบน้ำ ผมกินอาหารมื้อเดียวเหมือนพระที่วัด ไม่มีครอบครัว อยู่ตัวคนเดียว ไม่ผิดกับนักบวช เพียงแต่ผมไม่มีธรรมวินัยเหมือนพระสงฆ์เท่านั้น อยากไว้ผมยาวก็ปล่อยไว้ ไม่ต้องโกนทิ้ง หลวงพี่ว่าผมบ้าไหมละครับ”
หากยังคุยกันรู้เรื่องเขาคนนั้นก็ไม่ใช่คนบ้า เพียงแต่ทำตัวแปลกแยกแตกต่างจากวิถีปฏิบัติของชาวบ้านคนอื่นๆจะตัดสินว่าเขาคนนั้นบ้าก็คงไม่ถูกต้องนัก ชีวิตเป็นของเขา เขาได้เลือกเส้นทางเดินที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเขาเองแล้ว ชีวิตมีทางเลือกเสมอ ทางเดินมีหลายทาง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเดินทางไหนเท่านั้น บางครั้งแม้ว่าทางที่เราเดินจะไม่ใช่ทางที่เราอยากเลือกก็ตาม นั่นก็นับว่าเป็นทางที่เราเลือกแล้ว
ลุงสุขยังเล่าต่อไปอีกว่า “ผมเรียนหนังสือจบเพียงชั้นประถมปีที่สอง จากนั้นพ่อก็พาย้ายบ้านไปเรื่อยจนกระทั่งพ่อเสียชีวิต ผมเลยไม่มีโอกาสได้เรียน จึงไม่มีความรู้อะไร พออ่านออกเขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น ปัจจุบันก็มีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านของเพื่อนของพ่อในฐานะผู้อาศัย
โลกเจริญด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถติดต่อสื่อสารกันได้แทบจะถูกพื้นที่ แต่สำหรับลุงสุขกลับเดินสวนทางกับโลก มีเพียงกระท่อมหลังเล็กกลางหุบเขา แวดล้อมไปด้วยป่าไม้ และลำธารใสเย็น แม้แต่ครกตำข้าวก็ใช้แรงจากน้ำไหลตกลงไปยังเหล็กท่อนหนึ่งกลายเป็นกระเดื่องตำข้าว ไม่ต้องใช้แรงคน ไม่ต้องใช้แรงเครื่องยนต์กลไกอะไร พอข้าวเปลือกได้ที่ก็เพียงแต่นำเปลือกข้างออกไปก็กลายเป็นข้าวสารที่สามารถนำมาหุงหาเป็นอาหารได้ หากไม่มีข้าวก็เพียงแต่ยกท่อนเหล็กออกจากธารน้ำไหล ครกตำข้าวแบบโบราณก็หยุดทำงาน
ลุงสุขไม่ได้เรียนรู้จากตำราเล่มใด ที่กระท่อมไม่มีหนังสือ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีพัดลม บนกระท่อมมีเพียงมุ้งเก่าๆที่ใช้เพื่อป้องกันยุงเท่านั้น แต่ลุงสุขก็อยู่ได้ ผ่านวันเวลาไปแต่ละวันแต่ละคืน โดยที่แทบจะไม่ได้เดินทางไปไหนไกลจากบริเวณป่า นอกจากอารามกลางป่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
แม้จะไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนในระบบมาก่อน แต่ก็ศึกษาจากธรรมชาติ รู้ว่าช่วงไหนฝนจะตก รู้ว่าช่วงไหนผลไม้จะสุกได้ที่ รู้ว่าจะปลูกอะไรจึงจะเหมาะกับพื้นที่ ลุงสุขมีศิลปะในการดำเนินชีวิตที่น่าทึ่ง แม้จะเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ การอยู่กับธรรมชาติ แต่ทว่าเป็นศิลปะที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ทำให้มีความสุขได้
ในพระพุทธศาสนาสุภาษิตอยู่บทหนึ่งว่าด้วยศิลปะ แม้จะมีน้อยก็ทำให้เกิดประโยชน์ได้ ดังที่แสดงไว้ในสาลิตชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (27/107/35) ความว่า “สาธุ โข สิปฺปกนฺนาม อปิ ยาทิสกีทิสํ” แปลว่า “ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จโดยแท้”
ในยุคที่ผู้คนต่างก็เร่งรีบแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นเพื่อที่จะทำให้ได้ทำงานที่มีค่าตอบแทนสูงๆ จากนั้นก็นำเงินที่ได้มาซื้อวัสดุสิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงๆ แย่งที่กันเรียน เปลี่ยนงานกันบ่อย ใช้สอยของแพง แย่งที่กันอยู่ แย่งคู่กันนอน คุณค่าสาระของคนวัดกันที่อุปกรณ์เครื่องใช้ราคาแพงๆ แต่ยังมีคนฆ่าตัวตาย คดีปล้น คดีฆ่า โกงกินกันไม่เว้นแต่ละวัน บางคนเรียนจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง มีงานทำที่คนอื่นอิจฉา แต่ทว่าปัญหาต่างๆดูเหมือนจะก่อตัวไปตามความเจริญของโลกไม่มีวันสิ้นสุด โลกเจริญหรือว่าโลกกำลังวิบัติกันแน่
ในราวป่าริมธารกลางหุบเขากลับมีชายคนหนึ่งเดินสวนทางกับผู้คนทั้งหลาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีเงินไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เขาดำเนินชีวิตเรียบง่ายเยี่ยงฤาษีชีไพร อยู่ง่ายกินง่าย ไม่เป็นอันตรายกับใคร เมื่อได้สนทนาด้วยยกนิ้วให้ ต้องยอมรับในวิถีที่สามารถอยู่ในความโดดเดี่ยวได้ เป็นความโดดเดี่ยวที่เต็มไปด้วยความสุข
บ่ายวันที่เดินทางไปเยี่ยมสวนป่าของลุงสุขได้พูดคุยสนทนา แต่ลุงสุขบอกว่า “หลวงพี่จะถ่ายภาพได้ทุกอย่าง แต่ผมขอหลวงพี่อย่างเดียวห้ามถ่ายรูปผม ผมไม่อยากเป็นข่าว ผมไม่อยากให้ใครรู้จัก ไม่อยากให้ใครได้เห็นหน้าผม ผมไม่ได้ทำความผิดอะไรจนไม่อยากให้ใครเห็นหน้านะครับ เพียงแต่ผมอยากใช้ชีวิตในแบบของผมเท่านั้น”
เมื่อรับปากลุงสุขแล้วก็ต้องรักษาสัญญา จึงทำได้เพียงถ่ายภาพผลไม้ ดอกไม้ ผีเสื้อที่แสนจะธรรมดา แต่ทว่ากลับเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดากับคนบ้าคนหนึ่งในสวนป่าเชิงเขาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชัยภูมิ คุยกับคนที่ชาวบ้านลงความเห็นว่าเป็นผีบ้ารู้เรื่อง หรือว่าเราก็เริ่มจะเดินเข้าใกล้ความเป็นบ้าแล้วเหมือนกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/01/58