ดูเหมือนว่าชีวิตมนุษย์จะถูกสอนมาให้ต้องทำอยู่แทบตลอดชีวิต ต้องเรียน ต้องทำงาน ต้องมีรถ ต้องมีบ้าน ต้องอ่านหนังสือ ต้องศึกษาหาความรู้ ต้องใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์..เป็นต้น และยังมีสิ่งที่ต้องเป็นเช่นต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี ต้องเป็นคนมีคุณธรรม ต้องมีอาชีพ เป็นครู เป็นตำรวจ เป็นข้าราชการ ยิ่งหากได้เป็นในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยากยิ่งจะทำให้คนๆนั้นมีคุณค่าและมีความสุข ชีวิตของคนส่วนหนึ่งจึงเป็นเหมือนกับการเดินตามความฝันของคนอื่น ส่วนความฝันของตัวเราเองนั้นบางครั้งก็เป็นได้แค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งหากไม่มุ่งมั่นและตั้งใจจริงๆแล้ว ไม่อาจจะเดินไปสู่ความฝันได้ เพราะในการเดินทางนั้นอาจจะเดินตกเหวก่อนจะถึงเส้นชัย
บทนิยามของของความสุขกับสิ่งที่คาดหวังมักจะมาคู่กัน หากทำสำเร็จในสิ่งที่อยากเป็นเชื่อกันว่าเขาจะมีความสุข เหมือนการปีนขึ้นสู่ยอดภูเขาที่สูงที่สุด คนมักจะคิดว่าช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดคือการที่ได้ยืนอยู่บนยอดภูเขา คนส่วนหนึ่งจึงมักจะหลงลืมช่วงเวลาระหว่างการเดินทาง ซึ่งอาจจะเป็นช่วงที่มีความสุขมากที่สุดก็ได้ การเดินทางของชีวิตก็ในทำนองเดียวกัน เมื่อมองแต่เป้าหมายต้องเป็นอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตก็ทำให้หมดความสุข เป้าหมายข้างหน้าที่วางไว้เป็นเพียงความสุขที่อยู่ในความฝัน ส่วนชีวิตปัจจุบันคือความจริงที่ต้องยอมรับ เมื่อเข้าใจก็ได้ความสุข
ตอนเย็นหลังทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ฟ้ากำลังจะมืด ขณะที่กำลังจะเดินกลับกุฏิก็ได้ยินเสียงทักจากข้างหลังจากโยมที่คุ้นเคยคนหนึ่งว่า “สบายดีนะครับ หลวงพ่อ ช่วงนี้ไม่ได้เดินทางไปไหนหรือครับ”
มองซ้ายมองขวาไม่เห็นมีพระภิกษุรูปใดอยู่แถวนั้น “หลวงพ่อ” ตามที่ชายคนนั้นเรียกคงเป็นตัวเราเอง ตอนนี้คนเริ่มเรียกหลวงพ่อมากขึ้น ตัวเราเองคงมีอาการของคนแก่ปรากฏให้เห็น จนคนทั้งหลายคิดว่าเป็นพระที่มีอายุมาก เริ่มจะคุ้นชินกับคำเรียกขานแล้ว สังขารทั้งหลายย่อมแปรเปลี่ยนไปตามช่วงผ่านของกาลเวลาเป็นธรรมดาของสัตว์โลก จึงตอบไปตามธรรมเนียมว่า “สบายดี โยมมาทำอะไร”
“คืออย่างนี้นะครับ ผมกำลังเตรียมตัวเพื่อที่จะเดินทางไปภูเขาหิมาลัย ไปยอเขาเอฟเวอร์เรส ได้ทราบข่าวมาว่าหลวงพ่อเคยเดินทางไปภูเขาหิมาลัยมาแล้ว จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาครับ”
“คงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด อาตมาเพียงแต่อยากไป แต่ไม่เคยเดินทางไปจริงๆสักครั้ง ไปเพียงความในความฝันเท่านั้น ที่เคยไปนะเพียงแค่ตีนเขาหิมาลัย ที่เมืองแคชเมียร์เท่านั้น ไม่ใช่หิมาลัยที่เนปาลแต่ประการใด”
“ผมฝันมานานแล้วครับว่าในชีวิตนี้จะเดินทางไปภูเขาหิมาลัยสักครั้ง แม้จะไปไม่ถึงยอดเขาที่สูงที่สุด ขอเพียงแค่ทางขึ้นที่ “Base Camp” ก็พอ”
เมื่อหลวงพ่อทำหน้างงๆกับสิ่งที่ชายคนนั้นพูด เขาจึงเฉลยว่า “คืออย่างนี้นะครับเท่าที่ผมศึกษาข้อมูลมาการเดินทางไปยอดเขาเอฟเวอร์เรสนั้น เริ่มต้นที่กาฏมัณฑุ เมืองหลวง จากนั้นก็ไปที่เมืองลุกล่า และเดินทางต่อไปอีกเริ่มต้นที่เบสแคมป์ จากนั้นจึงจะเป็นการเดินทางไปอีกสี่แคมป์ก็จะถึงยอดเขาที่สูงที่สุดอีกที ความฝันของผมคือการได้ไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดของโลกสักครั้งนะครับ”
ช่างเป็นความฝันที่น่าสนใจ หากหลวงพ่อ(ตามที่เขาเรียก)ไม่แก่เกินไปก็อยากจะไปเหมือนกัน จึงบอกว่า “ขอให้โชคดีได้เดินทางตามความฝันให้สำเร็จก็แล้วกัน ชีวิตกับความฝันและวารวันแห่งความจริง จงทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้ อาตมาเอาใจช่วย ไปถึงเมื่อไหร่กลับมาเล่าให้ฟังด้วย อาตมาคงไม่มีแรงกายเพียงพอในการปีนป่ายภูเขาได้ ชีวิตอยู่ในช่วงขาลงแล้ว คงต้องปล่อยวางความฝันทั้งหลายไว้เบื้องหลัง หันมาอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น”
จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เมืองแคชเมียร์ วันนั้นเดินทางไปที่ภูเขากุลมาร์กซึ่งหิมะปกคลุม เพื่อนผู้ชำนาญทางบอกว่า “การเดินบนพื้นหิมะต้องค่อยๆเดิน เดินช้าๆ อย่ารีบร้อน อย่าออกนอกเส้นทาง เพราะอาจจะตกลงไปในหลุมหิมะได้ทุกเมื่อ”
การเดินอยู่บนลานหิมะอันหนาวเหน็บสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเสมอคือการปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่ไม่อาจขัดขืนได้ แม้จะมีห้องน้ำอยู่ตามร้านค้าต่างๆ แต่ทว่าช่วงนั้นร้านค้ายังอยู่ไกลเกินไป จึงบอกเพื่อนว่าขอโทษถูกความทุกข์กดดันมากจำเป็นต้องหาที่ระบายออก
จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนลานหิมะที่มีบ้านสองสามหลังแทรกตัวอยู่ใต้กองหิมะ ตั้งใจว่าจะขอเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเดินฝ่าหิมะไปถึงบ้านนั้นปิดสนิท มีเพียงทางเข้าที่บ้านเป็นช่องเล็กๆล้อมรอบไปด้วยหิมะที่สูงท่วมศีรษะ เมื่อสุดจะทนทานจึงจำเป็นต้องอาศัยที่ว่างใต้ต้นสนเป็นที่ระบายความอึดอัดกายในบัดดลนั้น
เมื่อเดินกลับอยากลองว่าพื้นหิมะจะเป็นเช่นไรจึงเดินออกนอกทางและเผลอพลัดตกลงไปในหลุมหิมะครึ่งตัวแต่ก็ค่อยๆยกตัวขึ้นมาจนได้ ใต้หิมะที่งดงามนั้น มีอันตรายที่แฝงอยู่ทุกแห่ง อย่าประมาทเพราะหากพลาดพลั้งไปอาจจะไม่มีชีวิตรอดอยู่ดูโลกนี้อีกต่อไป
ชีวิตของมวลมนุษยชาตินั้นเต็มไปด้วยหุบเหวที่คอยดักรอ อาจจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ การเดินทางจึงต้องมีผู้นำทาง และต้องมีการเตรียมความพร้อม มีการฝึกฝน เพราหากไม่ฝึกตนก็อาจจะเผลอตกลงไปในหุบเหวได้ เหมือนยวดยานพาหนะหากคนขับไม่ชำนาญก็อาจจะลื่นไหลตกเหวได้ รถตกเหวก็ยากที่จะนำกลับมาใช้งานได้อีก หากชีวิตตกเหวก็อยู่อย่างลำบาก ดังที่แสดงไว้ในติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส ขุททกนิกาย มหานิเทส (29/238/178) ความว่า “ยานนั้นที่หมุนไปคือที่เขามิได้ฝึกฝนมิได้ฝึกหัด มิได้อบรม ย่อมตกเหวบ้างอฉันใด บุคคลนั้นหมุนไปผิด เปรียบเหมือนยานที่หมุนไปย่อมตกไปสู่เหวคือชาติบ้าง ตกไปสู่เหวคือชราบ้าง ตกไปสู่เหวคือพยาธิบ้าง ตกไปสู่เหวคือมรณะบ้าง ตกไปสู่เหวคือโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสบ้างฉันนั้น”
ในการเดินทางของชีวิตมีหุบเหวคอยดักรออยู่ทุกที่ หากไม่ระมัดระวังอาจจะตกเหวแห่งความชรา เหวแห่งความเจ็บป่วย แม้จะยังมีความฝันแต่เมื่อสุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ไม่อาจจะทำความฝันให้เป็นจริงได้ ยิ่งเหวคือความตายมาหาแล้วทุกอย่างก็จบสิ้นกัน
ส่วนเหวคือความโสก ปริเทวะ การร้องให้ การคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสคือความทุกข์ยาก ความตรอมใจ เป็นเหวแห่งจิตใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เกิดได้กับทุกคน จึงต้องพยายามทำความเข้าใจ รักษาจิตใจให้มีความเป็นปกติอย่าปล่อยให้กิเลสเหล่านั้นมาครอบงำจิตใจ เมื่อนั้นใจก็ไม่เผลอตกเหวแห่งกิเลสทั้งปวง
การดำเนินชีวิตของมวลมนุษย์ต่างก็มีหุบเหวแห่งชีวิตคอยดักรออยู่ตลอดการเดินทาง ใครที่มีชีวิตราบรื่นไปได้ตลอดเส้นทางถือว่าเกิดมาโชคดี ถนนหนทางไม่อาจจะราบเรียบเสมอกันได้ทุกแห่ง ชีวิตมนุษย์ก็ไม่อาจจะราบรื่นได้เสมอไปต้องมีอุปสรรค ต้องมีหุบเหวที่คอยดักรออยู่ตลอดเส้นทาง เป็นหุบเหวแห่งชีวิต หากระวังไว้ ไม่ประมาท ก็จะต้องรอดพ้นไปได้
ในบรรยากาศที่เงียบสงบ นั่งเล่นปล่อยให้จิตใจผ่อนคลาย อยากคิดอะไรปล่อยให้คิด จิตอยากจะไปไหนก็ปล่อยใจไปตามอารมณ์ฝัน แต่ทว่าคอยรับรู้สิ่งที่ใจคิดจิตจินตนาการ นี่จะไปไหนกัน แม้ร่างกายจะยังคงอยู่ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปตามธรรมดา แต่ทว่าจิตใจกับคิดไปตามสิ่งที่ปรุงแต่ง เพียงแค่ได้ฟังชายคนหนึ่งบอกว่าอยากจะไปภูเขาหิมาลัยเท่านั้น ก็นำมาปรุงแต่งจนกลายเป็นความฝัน ทั้งที่ตัวอยู่ไกลแต่ใจกำลังตกเหว ตัวเราเองกำลังเดินเข้าใกล้ปากเหวชรา พยาธิ มรณะ เข้าไปทุกเวลา
ชีวิตในวัยใกล้ปากเหว ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งที่อยากเป็น ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ต้องเป็น มีเพียงสิ่งที่ต้องทำนั่นคือทำตามหน้าที่ที่ควรจะทำ ชีวิตเดินทางภายนอกมามากพอแล้ว ควรจะถึงเวลาเดินทางในหุบเขาแห่งจิตวิญญาณให้มากขึ้น ปล่อยวางความฝัน ใช้เวลาในปัจจุบันให้คุ้มค่า เพราะชีวิตคือความจริงมิใช่ความฝัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/12/57