วันอาทิตย์ไม่มีงานอะไรที่จะต้องทำเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน มีงานนิมนต์ฉันเพลที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กลับมาบ่ายเผลองีบหลับไปนิดหนึ่ง ตื่นขึ้นมารู้สึกดี การปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามที่มันเป็นก็ดีเหมือนกัน ง่วงก็หลับตื่นขึ้นมาได้กาแฟแก้วหนึ่ง อ่านหนังสือเล่นเพลินๆ ชีวิตก็สุขสบายดี แม้ว่าอากาศช่วงบ่ายจะร้อนไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้ใจร้อนไปด้วย ได้อ่านหนังสือที่ชอบ นั่งคิดอะไรเล่นๆปล่อยใจให้ว่างคิดถึงอดีตสวยงามบ้าง ชีวิตก็มีความสุขตามสมควรแล้ว ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจธรรมดาของชีวิตซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกชั่วขณะจิต ทำชีวิตในวันหยุดให้ผ่อนคลาย ใจสบายเป็นวันอาทิตย์ที่งดงาม
สายัณหสมัยแสงแดดยามเย็นกำลังจะโบกมือลาทิวาวาร แสงแสงสุดท้ายกำลังจะจางหายเกิดเป็นเหมือนภาพวาดของธรรมชาติ ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงเพลง “Beautiful Sunday” เป็นวันอาทิตย์ที่งดงามจริงๆ เปิดดูภาพเก่าๆในอดีตเมื่อครั้งที่เคยเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ก็มาสะดุดอยู่ที่เมืองศรีนาคา แคชเมียร์ ภาพถ่ายแปลกตาดูแล้วพาสบายใจ ดูภาพแล้วจินตนาการก็บรรเจิดเกิดเป็นความทรงจำที่ย้อนกลับไปยังอดีตในการเดินทางอีกครั้ง จำได้ว่าเช้าวันนั้นตื่นเช้าเป็นพิเศษ ฟ้ายังไม่สว่าง ตามริมฝั่งแม่น้ำมีหมอกปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ อากาศหนาวเย็น มองเห็นเรือของชาวประมงกำลังกู้อวนใต้กลุ่มหมอกจางๆ บางครั้งมีปลาติดมาที่อวนด้วย แม้จะตัวไม่ค่อยโตนัก แต่สังเกตจากรอยยิ้มของคนหาปลาคนนั้นท่าทางจะพอใจในผลงานตัวเอง ตามสะพานริมแม่น้ำลำคลองเริ่มมีผู้คนทยอยเดินผ่านไปผ่านมา แม้จะไม่มีใครเอ่ยทักทายแต่ทว่าจากรอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นการแสดงการทักทายที่ดีอย่างหนึ่ง บางครั้งการสนทนาด้วยรอยยิ้มก็เป็นที่เข้าใจกันได้
"เช้าวันอาทิตย์ตื่นแต่เช้าได้เดินเล่นริมทะเลสาบ ช่างเป็นวันอาทิตย์ที่สวยงาม อาจจะมีใครบางคนกำลังเฝ้ารอ บางครั้งได้ยินเสียงนกร้องเพลง เดินทางไปตามแสงแห่งดวงอาทิตย์ ช่างเป็นวันอาทิตย์ที่สวงงาม"
ร้านค้าริมคลองมีควันไฟรอยกรุ่นจากกล่องควัน กลุ่มลอยตัวเหมือนกำลังมีร่างที่มองไม่เห็นกำลังร่ายรำ เรือพายตามลำคลองเริ่มออกจากท่า เริ่มเรียกหาลูกค้าเพื่อท่องเที่ยวไปตามลำธาร งานของผู้คนที่นี่กำลังเริ่มต้นในเช้าที่ไม่มีแสงตะวัน แม่ค้าเริ่มประกอบอาหาร ได้กลิ่นหอมของอาหารบางอย่างโชยมากระทบนาสิก
ผู้เขียนถือกล้องเดินเล่นไปตามสะพานริมทะเลสาบดาล แห่งเมืองศรีนาคา ฝั่งหนึ่งเป็นบ้านเรือนของผู้คน อีกฟากหนึ่งเป็นทะเลสาบที่มีเรือหลายขนาดจอดเรียงรายตามริมฝั่ง ผู้คนที่นี่ใช้เรือเป็นบ้าน เป็นโรงแรม เป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง มีชื่อเรียกขานตามชื่อของเมืองหลวงประเทศต่างๆ ประหนึ่งจะจำลองเมืองทั้งหลายมารวมกันไว้ที่นี่ ห้องพักก็ไม่ต้องมีเครื่องปรับอากาศเพียงแค่เปิดหน้าต่างรับลมจากภายนอกก็ได้สัมผัสธรรมชาติอันงดงามแล้ว
เสียงเพลงที่ฟังไม่ออกเป็นทำนองอ่อนสร้อยอ้อยอิ่ง เหมือนหนึ่งคนร้องกำลังคิดถึงใครสักคน เหมือนเพลงสวด เหมือนเพลงรำพัน ไม่มีเสียงดนตรีใดมาทำให้บทเพลงแปรเปลี่ยน มีเพียงท่วงทำนองของคนร้องแว่วมาจากเรือแห่งหนึ่ง
แม้ว่าแสงจะน้อยไม่ค่อยเอื้อต่อการถ่ายภาพมากนัก แต่ก็พยายามปรับค่ากล้องเป็นรูรับแสงที่กว้างที่สุด ปรับสภาพของค่าฟิล์มให้สูงขึ้นหน่อย ก็สามารถถ่ายภาพได้ในสภาพที่แม้แสงจะน้อย ได้ยินเสียงเอ่ยทักมาจากเรือลำหนึ่ง แปลความได้ว่า “โรงแรมไหมครับ ราคาถูกๆ คืนละห้าร้อยรูปี” เสียงนั้นมาจากชายชราผมขาว หนวดยาวที่นั่งพ่นควันบุหรี่บนเรือลำหนึ่งที่ค่อนข้างจะเก่า ราคาห้าร้อยรูปีต่อคืนก็ค่อนข้างจะถูก แต่เนื่องจากมีที่พักแล้วโดยเช่าเหมารวมไว้หลายวันพักกันเฉพาะพระภิกษุที่เดินทางไปด้วยกันสี่รูป จึงไม่มีปัญหาเรื่องที่พัก
การเดินทางในครั้งนั้นไม่มีวัตถุประสงค์พิเศษอย่างใด เพียงแค่อยากจะมาก็มา อยากพบอยากเห็นสถานที่ที่ยังไม่เคยไป ค่าใช้จ่ายก็ช่วยกันออก เดินทางแบบประหยัด โดยสารรถไฟ หรือนั่งรถประจำทาง บางครั้งต้องนั่งรถลดเลี้ยวไปตามเชิงเขาใช้เวลาทั้งวันจึงถึงจุดหมาย แต่ทว่าในการเดินทางครั้งนี้ จุดมุ่งหมายปลายทางมิใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นคือการได้สัมผัสบรรยากาศในขณะเดินทาง ได้ชื่นชมธรรมชาติที่งดงาม หากพบสถานที่ประทับใจก็จอดรถถ่ายภาพข้างทาง แม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็ได้สัมผัสสภาพข้อเท็จจริงของสถานที่ไปด้วย การเดินช้าลงบ้างบางทีอาจจะได้พบกับความแปลกใหม่
ในชีวิตของผู้คนต่างก็ย่อมมีจุดมุ่งหมายปลายทาง นักเรียนนักศึกษามองตรงไปที่การสำเร็จการศึกษา คนทำงานมองไปที่การได้เลื่อนตำแหน่ง มีเงินเดือนที่สูงขึ้น คนทำงานรายวันมองไปที่ค่าแรงที่จะพึงได้รับจากหยาดเหงื่อแรงกาย การทำงานจึงต้องแข่งกับเวลา จนหลงลืมไปว่าช่วงเวลาระหว่างการทำงานคือการใช้ชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่ง นักศึกษาบางคนที่เรียนจบการศึกษาแล้วบางคนจึงเป็นเหมือนเครื่องจักรที่พร้อมที่เข้าสู่โรงงานแห่งชีวิต หากชีวิตเป็นเหมือนเครื่องจักรแล้ว จินตนาการและความฝันก็พลันมลายหายไป อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” มีความรู้แต่ขาดจินตนาการ ความสำราญของชีวิตก็หายไป
ชีวิตต้องมีจินตนาการและความฝันเหมือนแสงตะวันที่จะต้องโผล่พ้นขอบฟ้าในเวลาเช้า แสงอาทิตย์เหมือนความฝันที่บรรเจิดที่ให้แสงสว่างแก่โลก ความฝันจึงเป็นเหมือนแสงแห่งชีวิต หากมนุษย์ไม่มีความฝันแล้ว ชีวิตคงแห้งแล้งไม่ต่างจากเครื่องจักรสักเท่าใด
เดินเล่นไปตามสะพานริมฝั่งทะเลสาบซึ่งมีคลองเล็กคลองน้อยเชื่อมโยงกับทะเลสาบ ส่งรอยยิ้มทักทายผู้คนที่เดินสวนไปมา กล้องในมือก็ถ่ายภาพสภาพพื้นที่ไปเรื่อยเรื่อยๆ บางครั้งก็หันกลับมาถ่ายภาพผู้คนบ้าง โดยที่ไม่พยายามไปทำความรำคาญให้แก่ผู้ที่ถูกถ่ายภาพ บางครั้งคนพื้นเมืองก็ยังยิ้มให้พร้อมทั้งแสดงท่าทางให้ถ่ายภาพ ที่ง่ายที่สุดคือพวกเด็กๆถ่ายภาพเสร็จก็โชว์ให้พวกเขาดู พอเห็นภาพก็ยิ้มออกมาด้วยความสุข บางคนยังขอให้ถ่ายภาพอีกครั้ง ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมดาแสวงหาพออยู่พอกินของผู้คนที่นี่ช่างเป็นชีวิตที่ดูแล้วสบายใจดีแท้
ใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่ได้กำหนด แต่เดินกลับทางเดิม ดวงอาทิตย์ก็สะท้อนพื้นน้ำมีเรือล่องลอยตัดกับแสงอาทิตย์เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง บางครั้งความงามที่ลงตัวก็ต้องรอจนได้จังหวะ สถานที่แต่ละแห่งย่อมมีช่วงเวลาที่งดงามที่สุด เหมือนกับมนุษย์จะต้องมีช่วงเวลาที่งดงามที่สุด เป็นความลงตัวแห่งการใช้ชีวิต เป็นความงามแห่งชีวิต ซึ่งแต่ละคนจะต้องเสาะหาช่วงเวลานั้นเอาเอง
กำลังจะข้ามสะพานก็มีเรือพายลำหนึ่งกำลังจะผ่านไป “กาแฟ ๆ” ได้กาแฟสักแก้วในวันที่อากาศหนาวอย่างนี้คงดี จึงเรียกให้เรือจอด กาแฟแก้วนั้นธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ทว่าเมื่อดื่มในช่วงเวลาที่พอเหมาะกลับได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม สิ่งของบางอย่างแม้จะมองดูธรรมดา แต่หากอยู่ในช่วงของบรรยากาศที่พอเหมาะสิ่งที่มองดูว่าธรรมดาก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมาได้เช่นกัน
เช้าวันนั้นแม้จะเป็นการเดินเล่นที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับกลายเป็นว่าช่วงเวลาแห่งการเดินทางมาที่แคชเมียร์ในครั้งนั้น เป็นการเดินเล่นที่แสนสุข ลืมอดีต ไม่คิดถึงอนาคต อยู่กลับปัจจุบัน มองสภาพธรรมชาติตามที่มันเป็น โดยที่ไม่ได้ไปปรุงแต่ง คาดหวังว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชีวิตก็มีความสุขได้สุขที่อยู่กับปัจจุบัน จะเดินทางไปไหนก็ได้มีความสุข ถ้าใจเป็นสุข
เสียงเพลง “Beautiful Sunday” จบไปนานแล้ว หากสามารถทำวันเวลาให้เป็นเช่นวันอาทิตย์ได้ทุกวัน ความสุขสันต์ก็หาได้ไม่ยาก ได้ยินเสียงเพลง “Holiday” แทรกเข้ามาแทน คนเปิดคงนิยมเพลงเก่า แต่เพลงนี้ฟังแล้วเพลินดี ให้ฉันพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง ณ ที่ไกลแสนไกล ที่ไม่มีใครรู้จัก ใช้ชีวิตให้สุขสันต์ในวันที่พักผ่อน เปลี่ยนจากวันที่เหน็บหนาวไปรับแสงอาทิตย์ เปลี่ยนความทุกข์ยากลำบากให้กลายเป็นความรัก แสงอาทิตย์กำลังรอทักทายอยู่” ท่วงทำนองของบทเพลงช่างเชิญชวนให้น่าออกเดินทางไปยังที่ห่างไกลผู้คนที่ไหนสักแห่ง ไปกับใครสักคนที่รู้ใจ แต่ทว่าวันอาทิตย์วันนี้ต้องอยู่กับตัวเองเป็นวันอาทิตย์ที่งดงาม ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในห้องที่เงียบสงัด แต่ทว่าได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในจินตนาการ ณ ดินแดนที่สวยงามยามเช้าที่ทะเลสาบดาล เมืองศรีนาคา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
30/11/57
http://www.youtube.com/watch?v=StUDSP1Ovnw
http://www.youtube.com/watch?v=R1_IOW8rjE4