แต่ละคนคงมีภาพถ่ายที่เก็บไว้ เป็นภาพถ่ายส่วนตัวบ้าง เป็นภาพถ่ายของบุคคลที่เราเคารพ เป็นภาพของเพื่อน ของคนรู้จัก ในอัลบั้มภาพของแต่ละคนคงมีภาพบางภาพที่เก็บซ่อนไว้ บางภาพยังอยู่ในฟิล์มปัจจุบันเมื่อวิทยาการถ่ายภาพเป็นดิจิตอล บางภาพอาจจะอยู่ในไฟล์ภาพ ภาพถ่ายจึงเป็นเหมือนบันทึกความทรงจำ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ผ่านแล้วผ่านเลย บางคนไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพในสถานที่เดิม กับบุคคลที่ปรากฎในภาพอีกเลย
พักหลังมานี้ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพมากนัก มีคนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วให้นั่งอยู่เฉยๆ การถ่ายภาพให้เด็กเขาถ่าย เมื่อพิจารณาดูก็น่าจะจริงตามที่เด็กเขาว่า บางงานแทบจะไม่ได้ถ่ายภาพเอง ยกเว้นแต่จะหาช่างภาพไม่ได้แล้ว จึงจะเป็นช่างภาพให้ เมื่อไม่ได้ถ่ายภาพจึงมีภาพของตัวเองมากเป็นพิเศษ นั่นเพราะเมื่ออยู่เฉยๆก็จะกลายเป็นเป้าให้ถูกถ่ายมากขึ้น สมัยก่อนมีแต่ภาพภาพคนอื่น ปัจจุบันเริ่มเป็นเป้าให้คนอื่นถ่ายภาพบ้าง
รู้สึกว่าห้องพักรกมานานจึงทำความสะอาดเก็บนั่นเก็บนี่ให้เข้าที่ทาง หนังสือก็เก็บไว้ในตู้ บางเล่มถึงเวลาที่จะต้องทิ้งก็ต้องนำออกไว้นอกห้อง หมดหน้าที่ไป ถ้าไม่ทำอย่างนั้นห้องพักก็จะกลายเป็นห้องหนังสือแทน ในจำนวนสิ่งของทั้งหลายนั้นมีอัลบั้มภาพเก็บไว้หลายอัน แม้แต่คนเก็บก็แทบจะลืมเลือนไปนานแล้ว จึงค่อยเปิดดูทีละภาพและหยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมาบันทึกภาพไว้ ภาพเก่าเหล่านั้นก็กลายเป็นภาพดิจิตอล
ภาพถ่ายในอดีตที่ผ่านไปย้อนกลับไปถ่ายใหม่ไม่ได้ แต่ทว่าสามารถจินตนาการในจิตได้ เป็นความทรงจำที่ฝังแน่นตรึงอยู่ในจิต ภาพแรกที่ยังจำไม่ลืมคือภาพที่เข้ารับพัดเปรียญธรรมสามประโยคจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช(วาสน์ วาสโน) ที่พระอุโบสถวัดราชบพิธ ประมาณปีพุทธศักราช 2529 พระจากบ้านนอก หากไม่สอบให้ได้เปรียญธรรมสามประโยค ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้สมเด็จพระสังฆราช แม้จะเป็นพระมหาเปรียญแล้วก็ยังได้ชื่อว่า “มหาบ้านนอก” แต่เป็นบ้านนอกที่มีความรู้พอสอนชาวบ้านได้ กว่าจะมีภาพนี้ได้ต้องนั่งรถไฟจากอุดรธานีมายังกรุงเทพ เพื่อเข้ารับพัดและประกาศนียบัตรที่กรุงเทพ จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับอุดรธานี ที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสรอแสดงความดีใจรอรับที่หน้าพระอุโบสถ
ปัจจุบันสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์อุดรธานี ต้นสังกัดของผู้เขียนในสมัยนั้นยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันมีอายุ 103 ปีแล้ว มีสมณศักด์ที่ “พระอุดมญาณโมลี”
พระมหาเปรียญรุ่นนั้นยังอยู่ในเพศสมณะเพียงสองรูป รูปหนึ่งไปจำพรรษาที่อเมริกามานานหลายปีแล้ว อีกรูปหนึ่งจำพรรษาที่กรุงเทพมหานคร ส่วนหลวงปู่พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป)ยังคงเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์เหมือนเดิม
อีกภาพหนึ่งยังเก็บรักษาไว้อย่างดี เพราะเป็นภาพที่ถ่ายเอง ครั้งหนึ่ง นานมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังใช้กล้องฟิล์มเคยเดินทางไปพักที่วัดป่าบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ตอนนั้นหลวงปู่ขาน ฐานวโร เป็นเจ้าอาวาส ฉันเช้าเสร็จเห็นหลวงปู่กำลังนั่งในอิริยาบถสบายๆ จึงยกกล้องขึ้นเตรียมถ่ายภาพ กำลังจะกดชัตเตอร์ ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า “จะถ่ายภาพไปทำไม” หน้าท่านดุ เสียงท่านดัง มือไม้ผู้ที่กำลังจะถ่ายภาพเริ่มสั่นกล้องที่ถืออยู่ก็สั่นไหว
แต่เมื่อตัดสินแน่วแน่แล้วว่าเป็นไงเป็นกัน เราไม่ได้ทำอะไรผิดจึงตอบหลวงปู่ด้วยเสียงสั่นๆว่า “ถ่ายไว้ดูครับ เอาไว้กราบไหว้เพื่อเป็นเครื่องระลึกนึกถึงในอนาคตครับหลวงปู่”
ตอบไปอย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้าถ่ายภาพ แต่ในบัดดลนั้นก็ได้ยินหลวงปู่พูดขึ้นอีกว่า “อ้าวตอนนี้ถ่ายได้ ถ่ายให้สวยๆนะ”
ทั้งพระภิกษุและอุบาสกอุบาสิกาบนศาลาการเปรียญต่างก็งุนงง จึงได้ถ่ายภาพหลวงปู่ขาน ฐานวโรเก็บรักษาไว้ หากจำไม่ผิดน่าจะอยู่ในช่วงปีพุทธศักราช 2535 หรือ 2536 ประมาณนั้น
ภาพที่ถ่ายในวันนั้นจึงขยายเป็นภาพใหญ่เก็บใส่อัลบั้มภาพไว้เป็นอย่างดี วันนี้จึงยังคงได้เห็นรอยยิ้มหลวงปู่ที่นานๆครั้งจะได้เห็น เพราะคนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าหลวงปู่ขาน เป็นพระที่ดุมาก แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว หลังจากถ่ายภาพเสร็จหลวงปู่ยังได้พาไปดูพระพุทธรูปทองคำที่เก็บไว้บนศาลาการเปรียญรวมกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ เหมือนพระดินธรรมดา ไม่ได้มีความพิเศษอันใด
เมื่อถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ไม่กลัวคนขโมยหรือขอรับ”
หลวงปู่บอกว่า “มีคนขโมยหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็จะนำกลับมาไว้ที่เดิมทุกที สิ่งที่ไม่ใช่สมบัติเรา ถึงจะเอาไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่หากเคยเป็นสมบัติของเรามาก่อน แม้จะอยู่ไกลคนละฟากโลก สักวันหนึ่งก็ต้องกลับมาอยู่กับเราวันยังค่ำ สมบัติใครสมบัติมัน เหมือนกรรมนั่นไง กรรมใครกรรมมัน”
หลวงปู่ขานมรณภาพไปนานหลายปีแล้ว สังขารตัวตนไม่เหลืออยู่แล้ว แต่ภาพถ่ายยังอยู่ มองภาพถ่ายเมื่อใดใจก็ยังสุข คิดถึงคำที่หลวงปู่พูดไว้ได้ไม่ลืม แม้ว่าอัตภาพร่างกายจะคืนสู่ธาตุดั้งเดิมแต่ภาพถ่ายยังอยู่
อีกภาพหนึ่งเป็นภาพที่กำลังรับปริญญาจากพระหัตถ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2535 ตอนนั้นพึ่งเรียนจบปริญญาตรี และมีพิธีประทานปริญญาบัตรที่ห้องประชุมใหญ่สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มีพระภิกษุเข้ารับปริญญาจำนวนไม่ถึง 100 รูป งานจึงจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
ดูภาพนี้แล้วแทบจะจำไม่ได้ว่านั่นคือตัวเราเอง ยังมีรูปร่างผอม ตัวเล็ก ยังหนุ่มแน่น กาลเวลาผ่านไปแล้ว 22 ปี ปัจจุบันเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ สิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนพระภิกษุในภาพอายุเข้าใกล้วัยชราแล้ว น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น 20 กิโลกรัม ชีวิตเดินเข้าใกล้พระยามัจจุราชเข้ามาทุกที
ภาพสุดท้ายเป็นภาพถ่ายที่เก่าที่สุด ถ่ายในช่วงที่ผู้เขียนอุปสมบทพรรษาแรก มีเพื่อนสามเณรบรรพชาจำพรรษาร่วมกันหลายรูป หลวงพ่ออุปัชฌาย์ได้กล้องมาตัวหนึ่ง จึงพากันลองหัดถ่ายภาพกันเองเล่นๆ แต่ภาพนี้กลับเป็นภาพที่แทรกอยู่ในอัลบั้มภาพนานที่สุด ยาวนานสามสิบกว่าปีมาแล้ว
ย้อนกลับไปดูภาพถ่ายเก่าๆในอดีตแล้ว ก็ย้อนกลับมาดูตัวตนที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมที่เคยดกดำก็เหลือน้อยลง ร่างกายที่เคยผอมแห้งก็อ้วนขึ้น ความคิดก็เริ่มคิดอะไรช้าลง ชีวิตกำลังเดินเข้าใกล้วาระสุดท้ายเข้ามาทุกที มีเพียงภาพถ่ายที่หยุดเวลาไว้ได้ บันทึกในช่วงเวลาไหน ตัวเราเองก็อยู่ในช่วงเวลานั้น ย้อนกลับไปถ่ายซ้ำไม่ได้ เหลือไว้แต่รอยจารึกแห่งอดีต แม้ว่าภาพบางภาพจะเลือนไปบ้าง แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก เป็นภาพแห่งความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในดวงจิตฝังแน่นจนไม่อาจลืมเลือน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
23/10/57