ฟ้ายังครึ้มเหมือนฝนจะตกมาตั้งแต่เช้า แต่โลกนี้คาดการณ์อะไรล่วงหน้ายาก บางทีที่คิดว่าฝนจะตกอาจจะไม่ตกก็ได้ บางวันแดดร้อนอยู่ดีๆ ไม่รู้ฝนมาจากไหนตกหนักอย่างชนิดที่เรียกว่าลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ที่วางแผนในการเดินทางไว้ก็ต้องปรับเปลี่ยน เพราะหากถือตามกำหนดการเดิมอาจจะไปไม่ทันงานก็ได้ โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่อยู่เหนือจากกการคาดคิดของมนุษย์ บางทีสิ่งที่คิดไว้อาจจะไม่ใช่ อย่างที่คิด ทุกอย่างแปรเปลี่ยนได้เสมอ
สิ่งที่คิดไว้บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้ อาจจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็ได้ ครั้งหนึ่งจำได้ว่าดึกมากแล้วได้ยินเสียงเหมือนคนหัวเราะ บางครั้งร้องให้แว่วมา จะนอนก็นอนไม่หลับ ครั้นจะเดินลงไปดูให้เห็นกับตาก็ไม่แน่ใจว่าอาจจะมีใครวางแผนร้ายรอการมาเยือนเพื่อจะได้ปล้นชิงทรัพย์ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งไว้ใจใครไม่ค่อยได้ เผลอไว้ใจคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนอาจถูกปล้นจี้จนหมดตัวได้ง่ายๆ
แต่เสียงนั้นไม่มีทีท่าจะหยุด แม้จะพยายามไม่ฟังแต่ก็ยังได้ยิน เสียงที่ดังในยามดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างนี้ทำให้นอนไม่หลับ เมื่อหลับไม่ได้ก็จะมีผลกระทบกับวันต่อไป ยังมีงานที่จะต้องทำอีกหลายอย่างเช่นเตรียมการสอน เตรียมบรรยายต้องทำอารมณ์ให้คงที ร่างกายต้องพร้อม จิตใจต้องมั่นคงพร้อมที่เผชิญกับปัญหาที่ไม่คิดคิด ต้องแก้ปัญหาให้ได้ จิตใจต้องผ่อนคลาย กายต้องพร้อม การทำงานจึงจะราบรื่น
เสียงนั้นยังคงแทรกเข้ามาในความมืด จึงตัดสินใจเดินลงไปดูให้เห็นกับตาว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ เป็นอะไรเป็นกัน เมื่อเปิดประตูกุฏิออกไปก็พบกับชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับสุนัขหรือจะเรียกด้วยภาษาชาวบ้านหน่อยก็ต้องบอกว่า “ดึกแล้วมีชายคนหนึ่งกำลังคุยกับหมา”
จึงเดินเข้าไปหาและถามว่า “โยมมาทำอะไรที่นี่”
ชายคนนั้นหันมาและบอกว่า “กำลังคุยกับหมาไง ไม่เห็นหรือ” พูดจบก็หันกลับไปคุยกับหมาต่อ พระเลยต้องยืนงง
สักพักชายคนนั้นก็หันมาบอกว่า “หมาหรือภาษาของปัญญาชนเรียกว่าสุนัขนี่ มันซื่อสัตย์ มันยังฟังคำพูดทุกคำที่ผมพูด ไม่ถาม ไม่เถียง ไม่โต้ตอบ ผมจึงคุยกับหมาได้อย่างสบาย แต่สำหรับใครบางคนที่บ้าน แม้ผมจะพยายามพูดความจริงสักปานใด เขาก็ยังไม่ยอมฟัง คิดเองเออเอง จนผมที่เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ความผิดอะไรกลายเป็นคนผิด เป็นคนบาปในสายตาคนอื่น”
พอได้โอกาสจึงถามว่า “เรื่องมันเป็นอย่างไร ทำไมโยมจึงมานั่งคุยกับหมาอย่างนี้”
“พูดไปคงไม่มีใครเข้าใจผมหรอกครับ เรื่องมีอยู่สั้นๆคือบังเอิญผมทำเงินหายไปห้าพันบาท พอบอกให้ภรรยาทราบ เธอไม่เชื่อกลับหาว่าผมใช้เงินไปเที่ยว ไปมีภรรยาน้อย ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันหายจริงๆครับ พอรับเงินเดือนแล้วก็ตั้งใจจะกลับบ้าน แต่เพื่อนชวนไปทานข้าว ซึ่งก็มีสุรายาเมาบ้างตามธรรมดาของชาวบ้านนะครับ พอจะกลับบ้านเงินที่อยู่ในกระเป๋าที่เตรียมไว้ใช้จ่ายในครอบครัวบังเอิญหายไป ผมก็ไม่รู้ว่ามันหล่นหายไปตอนไหน กลับบ้านบอกภรรยาจึงกลายเป็นสาเหตุให้ทะเลาะกัน ผมไม่รู้จะไปไหน เดินผ่านวัดเหนื่อยก็เลยนั่งพัก แต่ทว่าพวกสุนัขทั้งหลายมารุมแล้ว ผมจึงระบายความทุกข์ให้สุนัขพวกนี้ฟัง คืนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปนอนที่ไหน เงินก็หมด ภรรยาก็ไล่ออกจากบ้าน สงสารชีวิตตัวเอง หากผมรวยคงไม่ต้องมาอยู่อย่างนี้ บางทีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าผมอาจจะรวยก็ได้นะครับ ผมจะนำเงินมาถวายหลวงพี่สักล้านหนึ่ง แต่คืนนี้ผมขอนอนที่ศาลาวัดได้ไหมครับ”
จึงบอกว่า “ได้สิ แต่โยมต้องเงียบ งดการพูดคุยกับสุนัข พวกมันคงฟังมามากพอแล้ว”
มองเห็นรอยยิ้มของชายคนนั้น จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนข้างๆศาลาวัดนั่นเอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ จึงนำผ้าห่มมาห่มให้ และกลับขึ้นสู่กุฏิ ที่แท้เป็นเรื่องของคนเมาที่กำลังพูดให้สุนัขฟังเท่านั้นเอง ตัวเราเองก็คิดมากไปได้ ทั้งๆสมบัติก็ไม่ได้มีอะไรมาก หนักหนา โบราณว่า “มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” เราคิดปรุงแต่งไปเอง
คิดถึงคำพูดสุดท้ายที่บอกว่า “ถ้าผมรวยผมจะนำเงินมาถวายหลวงพี่หนึ่งล้านบาท” ก็อดยิ้มไม่ได้ ความคิดไม่ทำให้คนรวย แต่ช่วยปลอบใจคนให้มีความหวังได้ คนจะรวยหรือไม่รวยไม่ได้อยู่ที่ความคิด ต้องลงมือกระทำให้ถูกวิธีจึงจะทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้
ในพระพุทธศาสนามีคำสอนอยู่บทหนึ่งว่า “สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้อาจไม่มีก็ได้” หรือจะแปลง่ายๆว่า “บางอย่างอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด ดังที่แสดงไว้ในมหาชนกชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (28/450/167) ความว่า “ความคิดที่ยังมิได้คิดก็มีอยู่บ้าง ความคิดที่คิดแล้วเสื่อมหายไปบ้าง โภคะทั้งหลายของสตรีหรือบุรุษ หาสำเร็จด้วยความคิดไม่”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “อจินฺติตมฺปิ ภวติ จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ
น หิ จินฺตามยา โภคา อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา”
สำนวนแปลในหนังสือพุทธศาสนสุภาษิต เล่ม 3 หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก แปลไว้ว่า “ สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้ สิ่งที่คิดไว้ก็เสียหายได้ โภคะของสตรีหรือบุรุษที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลย”
สถานการณ์บางอย่างอาจจะไม่ได้เป็นไปเหมือนที่คนอื่นคิด มีเรื่องเล่าว่า “ชายคนหนึ่งมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวทำเลอยู่ใกล้ๆโรงพักแห่งหนึ่ง ชายคนนี้ทำมาหากินด้วยความขยัน แต่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เช้าเปิดร้านถึงตอนเย็นก็เลิก แม้จะไม่ร่ำรวยแต่ก็พอเลี้ยงตัวเองได้ แต่ทว่าทุกคนในอาณาบริเวณใกล้เคียงให้ความเกรงใจมาก สาเหตุมาจากการที่พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวคนนี้มักจะเดินไปพบผู้กำกับที่โรงพักเสมอ เข้าไปพบโดยไม่ต้องนัดล่วงหน้า ทุกครั้งที่เขาอยู่กับผู้กำกับก็จะปิดประตูห้ามใครเข้าไปพบ จึงมีเพียงพ่อค้าและผู้กำกับนั่งสนทนากันตามลำพัง
เหตุการณ์เป็นไปทำนองนี้มาหลายปี จนผู้ที่พบเห็นต่างก็คิดไปต่างๆนานา พ่อค้าคนนี้คงคุ้นเคยกับผู้กำกับหรืออาจจะเป็นญาติ หรือาจจะเป็นอะไรต่อมิอะไรได้อีกหลายอย่าง จึงทำให้มีพ่อค้าคนอื่นๆขอร้องให้ช่วยเหลือในกิจการบางอย่าง ซึ่งหากเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายงานมักจะราบรื่นด้วยดี พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวธรรมดาจึงกลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในละแวกนั้น เพราะทุกคนเกรงใจที่เขาสามารถเดินเข้าห้องผู้กำกับได้ทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง
วันหนึ่งมีชายชราคนหนึ่งมารับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน จึงแอบกระซิบถามว่า “ทำอย่างไรจึงสามารถเดินเข้าห้องผู้กำกับได้โดยสะดวก โดยที่ไม่มีตำรวจคนใดขัดขวางเลย อยากรู้จริงๆ”
พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวจึงบอกว่า “ลุงเมื่อรู้แล้วเก็บไว้เป็นความลับห้ามบอกใครเด็ดขาด”
เมื่อชายชรารับคำ พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวจึงบอกว่า “ผู้กำกับยืมเงินผมหลายหมื่น ต้องส่งทั้งต้นและดอกเบี้ยทุกเดือน แกกลัวว่าตำรวจและคนอื่นๆจะรู้เรื่อง จึงต้องให้ผมไปเก็บเงินด้วยตนเองทุกเดือน” เรื่องบางอย่างอาจจะไม่ใช่อย่างที่คนอื่นคิดก็ได้เรามโนไปเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/10/57