วันสงกรานต์ตามประเพณีผ่านพ้นไปแล้ว หลายท่านคงมีความสุขในการเที่ยวงานสงกรานต์ตามสมควร บางท่านอาจได้หยุดยาวจนถึงวันจันทร์ จากนั้นก็จะต้องหันกลับมาสู่สภาพของความเป็นจริงของชีวิตที่จะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ปฎิบัติหน้าที่ตามภาระงานของตนต่อไป เมื่อได้เที่ยวสนุกสนานดูเหมือนว่าชีวิตจะเบาลงบ้าง จากนั้นเมื่อกลับมาทำงานก็จะรู้สึกหนักขึ้นมาอีก
ชีวิตที่วุ่นวายสับสนห่วงหน้าพะวงหนัง ชีวิตตนเองคนเดียวก็ยากอยู่แล้วยังจะต้องดูและชีวิตคนอื่นอีก บางคนคิดแต่จะได้ ไม่ได้คิดถึงการสูญเสียเลย แต่ตามความจริงชีวิตดำเนินไปตามโลกธรรมแปดประการคือ "มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เลื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์" คละเคล้ากันไป ไม่มีใครจะชนะได้ตลอดไปต้องมีแพ้บ้าง ชีวิตมีขึ้นมีลงมีได้มีเสีย
หากคิดหวังแต่จะให้ได้ลาภสักการะอย่างเดียว ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความหนัก ดังนั้นควรปล่อยวางเสียบ้าง ฝึกใจให้อยู่ในความว่าง อาจจะทำให้องเห็นสภาพความเป็นจริงตามที่มันเป็น ความจริงชีวิตเริ่มต้นด้วยความว่างเปล่า เมื่อแรกเกิดไม่มีอะไรติดตัวมาเลย มาตัวเปล่า ต่อมาเมื่อได้รับรู้กับโลกจึงค่อยๆยึดมั่นถือมั่นในความมี ความเป็น นี่ก็ของกู นั่นก็ของกู "ปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง ปลงไม่เป็น" ใครอย่ามาแย่ง หากยึดหนักเข้าก็จะมีความความยุ่งยาก ดังนั้นควรฝึกปล่อยเสียบ้าง จิตใจจะได้ว่าง เพราะหากรู้จักปล่อยก็จะเข้าใจความดีของความว่าง
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีนายทหารท่านหนึ่งเข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อครั้งอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร จากนั้นได้สาธยายปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องการงาน การเมือง ปัญหาชีวิตที่ประดังประเดเข้ามามากมาย “หนักครับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จวนจะแบกรับไม่ไหวแล้วครับ จึงได้มาเข้าเฝ้าสมเด็จฯเพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่งที่พำนัก ขอเจ้าพระคุณเมตตาแนะนำด้วยครับ”
สมเด็จฯ นั่งคิดสักพัก จึงรับสั่งให้นายทหารท่านนั้นนั่งคุกเข่าและบอกให้ยื่นมือทั้งสองมาข้างหน้า และพระองค์ก็หยิบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนายทหาร จากนั้นก็รับสั่งว่า “นั่งอยู่ตรงแหละ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว”
นายทหารนั่งคุกเข่าตามคำสั่งพร้อมทั้งประคองกระดาษทั้งสองมือ เวลาค่อยๆผ่านไป 10 นาที 20 นาที 30 นาที สมเด็จก็ยังไม่เสด็จออกมา เขาเริ่มเหนื่อย แขนเริ่มอ่อนล้า กระดาษชิ้นเล็กๆซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาซุ่มชุดทหารที่ใส่อยู่ ในที่สุดสมเด็จฯ ก็เสด็จออกมาประทับที่เดิม สักพักก็มองกระดาษที่มือนายทหารท่านนั้น แล้วทรงถามว่า “เป็นไงบ้าง”
“หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหวแล้วขอรับ” นายทหารตอบ
“อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียเล่า ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไงกัน” สมเด็จฯรับสั่ง
ที่มนุษย์รู้สึกว่าตัวเองต้องแบกภาระอันแสนหนักอึ้งทุกวันนี้ ก็เพราะมีแต่แบกมีแต่ถือไม่ยอมวางสักที กระดาษแผ่นเล็กๆหากถือไว้นานๆยังรู้สึกหนัก ความหนักไม่ได้อยู่ที่กระดาษ แต่อยู่ที่จิตใจเราต่างหาก
ชีวิตประกอบขึ้นด้วยเบญจขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สรุปได้สองประการคือกายและจิต ทุกคนต้องบริหารดูแลร่างกายและจิตให้เป็นไปได้ หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความแปรปรวนไปอาจจะทำให้เจ็บป่วยหรือหากชำรุดเสียหายจนแก้ไขไม่ได้ก็ต้องสิ้นชีวิตคือหมดภาระที่จะสืบต่ออายุขัยต่อไปได้ สรรพสัตว์จึงได้ชื่อว่าแบกเบญจขันธ์ไว้ตลอดเวลา ในภารสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (17/53/25)ได้แสดงว่าขันธ์ห้าเป็นภาระที่หนักดังพุทธภาษิตว่า
“ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภารหาโร จ ปุคฺคโล
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก ภารนิกฺเขปนํ สุขํ ฯ
ขันธ์ห้าชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล เครื่องถือมั่น
ภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข ฯ
หากเข้าใจสภาวะธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเกิดการปล่อยวาง ปล่อยให้ร่างกายและจิตทำหน้าที่ไปตามสภาวะ เราก็คอยดูแลเอาใจใส่ไปตามธรรมชาติชีวิตก็จะไม่รู้สึกหนักจนเกินไป กระดาษแผ่นเดียวไม่ได้หนักมากมายอะไร แต่เมื่อถือไว้นานๆจะเกิดความรู้สึกหนักขึ้นมาได้ ดังนั้น “ถ้าปล่อยก็ว่าง วางก็เบา เอาก็หนัก”
คำว่า “เอาหนัก” นั้นวันนี้ไม่มีคำอธิบาย ปล่อยให้ไปคิดต่อเอาเอง ใครจะคิดได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะคนย่อมทำงานแตกต่างกัน สิ่งที่พานพบก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
16/04/53