ความรู้เบื้องต้นข้อหนึ่งสำหรับผู้ที่พึ่งซื้อกล้องใหม่ คืออย่าพยายามถ่ายภาพย้อนแสง เพราะจะไม่ได้ภาพเหมือนที่ตาเห็น บางครั้งมืดเกินไป บางครั้งแทนที่จะชัดตรงตัวแบบแต่กลับไปชัดฉากหลัง ในช่วงที่กำลังถ่ายภาพจะเพลิดเพลินมากเพราะธรรมชาติที่เป็นฉากหลังคือดวงอาทิตย์กำลังเปล่งรังสีอันน่าพิศวง แต่พอมาดูภาพหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วแทบหงายหลังเพราะตัวแบบบางครั้งดูแทบไม่ออกว่าเป็นใคร ครั้นจะกลับไปถ่ายใหม่ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ สถานที่บางแห่งอาจจะได้สัมผัสเพียงครั้งเดียวในชีวิต และความงดงามของช่วงเวลาในหนึ่งวันอาจจะมีเพียงครั้งเดียว
กาลครั้งหนึ่งที่หุบเขามัณฑเลย์หรือมัณฑเลย์ฮิลล์ เมืองมัณฑเลย์ ประเทศเมียนมาร์ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่เมืองสกายจบลง ผู้ดำเนินการก็พาชมทัศนยภาพของสถานที่ต่างๆในบริเวณเมืองใกล้เคียง ผู้คนที่เมืองนี้อยู่กันอย่างสงบ ในด้านศาสนามีทั้งพระภิกษุ สามเณร สามเณรี แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา เป็นจำนวนมาก อาจจะเรียกได้ว่าในครอบครัวหนึ่งจะต้องมีคนบวชอย่างน้อยหนึ่งคน จะเป็นใครก็ได้ ไม่เลือกหญิงหรือชาย ผู้ชายบวชเป็นสามเณร ส่วนสตรีบวชเป็นสามเณรี ใส่ชุดขาวอมม่วงอ่อนๆ บางคนบวชแล้วยังอยู่ที่บ้าน สามเณรีบางรูปอายุยังไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ เวลาจะไปไหนมาไหนพี่สาวหรือแม่ยังต้องอุ้มไป แต่ทว่าเธอก็ใส่ชุดของนักบวชโกนผมตามธรรมเนียม ดูแล้วเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ฝึกกันตั้งแต่ยังน้อย ค่อยๆเติบโตด้วยธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวช
หุบเขามัณฑเลย์หรือมัณฑเลย์ฮิลล์ สอบถามจากพระภิกษุชาวเมียนมาร์รูปหนึ่งที่เป็นวิทยากรพาเที่ยวชมพระอาทิตย์ลับฟ้าในวันที่ที่ท้องฟ้าไร้เมฆหมอก ท่านบอกว่า “คำว่ามัณฑเลย์” เพี้ยนเสียงมาจากคำว่า “มันดาลา” ในภาษาทิเบตหมายถึงวงล้อแห่งพลังอำนาจ หรือมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ และชาวเมียนมาร์ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ที่ภูเขาแห่งนี้ พร้อมทั้งมีพุทธทำนายว่าจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้ามินดงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่มัณฑเลย์ ภายใต้ร่มเงาแห่งภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบแห่งนี้
มัณฑะเลย์ฮิลล์ ตั้งอยู่กลางเมืองมัณฑเลย์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 236 เมตร ปากทางขึ้นมารูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่สองตัว ระหว่างทางมีปูชนียสถานให้สักการบูชาเป็นระยะๆ มีทางขึ้นสองทางคือเดินขึ้นตามขั้นบันไดหรือนั่งรถสองแถวเลาะเลียบไปตามไหล่เขา
สายัณหสมัยที่หุบเขามัณฑเลย์ในวันนั้นอากาศสดใส มองเห็นพระอาทิตย์กลมโตค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างแช่มช้าอ้อยอิ่งเปล่งรังสีอันอ่อนโยนโอบล้อมเมืองทั้งเมืองให้อยู่ในความเงียบสงบ วันนั้นผู้คนไม่มากจึงได้สัมผัสความงามและบรรยากาศในยามเย็นที่ดวงตะวันกำลังลับขอบฟ้า เปล่งประกายความงามประหนึ่งเหล่าทวยเทพบนสรวงสวรรค์ได้มาเจียรนัยจิตรกรรมแห่งธรรมชาติบนผืนแห่งปฐพี พอได้สัมผัสความงามแห่งพระอาทิตย์ในสายัณหกาล จึงเอ่ยถามพระวิทยากรรูปนั้นว่า “เพลาเย็นยังงดงามเพียงนี้ หากเป็นอรุณรุ่งคงงดงามมาก”
แต่ทว่าคำตอบจากพระรูปนั้นถึงกับนิ่งอึ่ง “ที่นี้ไม่มีใครมาชมดวงอาทิตย์ยามเช้า มีแต่มาชมพระอาทิตย์ตอนเที่ยงและพระอาทิตย์ยามเย็น”
ผู้ถามเลยต้องทำหน้างงๆบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ
ท่านจึงเฉลยว่า “เนื่องจากพระอาทิตย์ขึ้นทางภูเขาที่สูงมาก พอโผล่พ้นยอดเขาออกมาได้เวลาก็ใกล้เที่ยงวันไปแล้ว ดังนั้นพระอาทิตย์ตอนเช้าจึงไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมกัน ตอนเช้าจึงไม่ค่อยงดงาม ผิดกับยามเย็นที่ดวงอาทิตย์มีเวลามาก ไม่มียอดเขาสูงมาบัดบังทัศนียภาพจึงมองเห็นได้รอบด้าน ผู้คนจึงมักจะมาชมดวงอาทิตย์ลับฟ้ามากกว่าจะมาดูพระอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง”
สถานที่แต่ละแห่งจะมีช่วงเวลาที่จะเปล่งประกายความงดงามในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะมีบ้างบางแห่งที่มีความงดงามตลอดกาล แต่สถานที่เช่นนั้นอยู่ที่ไหนกัน มนุษย์ก็คล้ายกับกาลเวลาเป็นคนสามแบบคือแบบอรุณรุ่ง แบบตะวันเที่ยงและแบบตะวันลับฟ้า คนในแบบอรุณรุ่งจะส่งพลังงานออกมา จะเดินผ่านชีวิตด้วยความคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดกำลังจะมาถึง เหมือนดวงตะวันที่กำลังขับเคลื่อนตัวไปข้างหน้ารอเวลาที่ดีที่สุดของวันวาร อนาคตอันสดใสกำลังรออยู่ข้างหน้า อดีตเป็นเพียงความมืดแห่งรุ่งอรุณที่กำลังสว่าง ส่วนปัจจุบันพวกเขากำลังเดินไปสู่ความสำเร็จเหมือนคนที่กำลังเดินขึ้นภูเขา
คนในแบบตะวันยามเที่ยงมองย้อนไปยังอดีตและมองไปยังอนาคตให้น้ำหนักเท่าเทียมกัน ส่วนหนึ่งมักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จตามสมควรแล้ว ปัจจุบันจึงอยู่ในสภาวะที่สงบสุขอยากรักษาสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้ได้นานที่สุดและส่งต่อความสุขไปยังอนาคต เขาเหมือนคนที่กำลังเสพความสุขอยู่บนยอดเขาที่พึ่งป่ายปีนขึ้นมาถึงยอดสูงสุดแล้ว อยากอยู่ให้นานไม่อยากเดินลงจากเขาสูงนั้นเลย
ส่วนคนในแบบตะวันลับฟ้าจะดูดกลืนพลังงานเข้าไป คนแบบนี้จะหนักอึ้งด้วยความคิดว่า สิ่งดีที่สุดอยู่ในอดีต ได้ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตกำลังถดถอยเหลือน้อยลง ปัจจุบันจึงเหมือนคนที่กำลังเดินลงจากลาดเขา
คนสามประเภทนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ บางคนอายุยังน้อยแต่เริ่มเดินถอยหลังแล้ว บางคนแม้จะอายุมากแต่ก็ยังมีไฟแห่งความฝัน ไม่เคยหมดหวัง ยังคงเดินหน้าสู่อนาคตต่อไป คนแบบเที่ยงวันเป็นประเภทที่พอแล้วยินดีในสิ่งที่ตนได้และพอใจในสิ่งที่ตนมี อดีตเป็นเพียงความทรงจำ อนาคตคือความฝัน ส่วนปัจจุบันคือความจริง มองไปข้างหน้ามีความหวัง มองย้อนหลังมีความสุข
วันนั้นมีกล้องในมือหลังจากถ่ายภาพ “ดวงอาทิตย์” ก็ขอให้เพื่อนผู้ร่วมเดินทางถ่ายภาพให้เป็นที่ระลึก เวลาดูในกล้องก็น่าพอใจ อย่างน้อยก็มีภาพแห่งความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมาสัมผัสบรรยากาศแห่งหุบเขามัณฑเลย์ มองจากระเบียงด้านหนึ่งเห็นแม่น้ำอจิรวดีสะท้อนแสงสีทองงดงามจับตา อีกด้านหนึ่งเห็นยอดพระบรมมหาราชวังกุโสดอร์เป็นเงาตะคุ่ม เห็นเค้ารางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอดีตราชธานีแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์สถานให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกนึกถึงอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ เตือนใจให้น้อมรำลึกว่าสิ่งทีเคยรุ่งเรืองอาจจะร่วงโรยได้ตามกาลเวลา
แม้จะพยายามจำกฏเกณฑ์ในการถ่ายภาพเบื้องต้นว่า “อย่าพยายามถ่ายภาพย้อนแสง” แต่ทว่าพอได้สัมผัสกับบรรยายอันแสนรื่นรมย์บนหุบเขามัณฑเลย์ หยิบกล้องได้ก็ยกขึ้นถ่ายภาพ ลืมไปว่าหากถ่ายภาพย้อนแสงต้องตั้งค่ากล้องเอง ปรับแสงปรับความชัดเอาเองภาพที่ถ่ายจึงจะพอดูได้ แต่วันนั้นลืมกฎของการถ่ายภาพจึงได้ภาพถ่ายย้อนแสงอย่างที่เห็น
วันนี้มองย้อนกลับไปในวันนั้นยังคงมีความสุข ทุกครั้งที่ได้ดูภาพถ่ายในห้วงยามแห่ง ความแปลกถิ่นก็ยังยิ้มได้ แม้ว่าอดีตจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จะย้อนกลับไปถ่ายภาพใหม่ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าเวลานั้นจะมาถึง ยังคิดว่าคงมีสักวันที่จะได้กลับไปเยือนหุบเขามัณฑเลย์แห่งนั้นอีก จะได้ถ่ายภาพที่งดงามกว่าที่เคยถ่ายมาแล้ว มองไปข้างหน้าอย่างมีหวัง แต่วันนี้เหลือไว้แต่ความทรงจำให้มองย้อนกลับไปยังอดีต แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น มองย้อนหลังอย่างมีความสุข ส่วนปัจจุบันอยู่ในช่วงวันเวลาเหมือนคนที่กำลังเดินลงจากลาดเขา มองไปที่สถานการณ์ของเมืองไทยในยุคนี้ช่างเป็นภาพที่ตรงกันข้ามเพราะเป็นสภาพที่ "มองไปข้างหน้าไม่มีหวัง มองย้อนหลังมีแต่ความทุกข์ระทม"
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
24/02/56