การชุมนุมเรียกร้องของมวลมหาประชาชนยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างไร ยังคงมุ่งเดินหน้าเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการมีหลักการสำคัญคือ “ปฏิรูปก่อนค่อยเลือกตั้ง” ในส่วนของรัฐบาลก็ออกพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2557 ซึ่งรัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอเพื่อเจรจาขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม และยังคงจะให้มีการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้โดยยึดหลักว่า “เลือกตั้งก่อนค่อยปฏิรูป” ประชาคนธรรมดาอีกส่วนหนึ่งไม่รู้จะเชื่อฝ่ายใด เพราะฟังดูแล้วมีเหตุผลทั้งคู่ แต่ในสภาวการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนคนไทยเมื่อเชื่อคนละฝ่าย ถือคัมภีร์คนละเล่มอย่างนี้ เมื่อไหร่ประเทศชาติจึงจะสงบสันติสุขได้เล่า
กำลังดูข่าวสารบ้านเมืองที่ยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร และยังมีฝ่ายที่กำลังจะขอพื้นที่บางส่วนคืน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะลงเอยกันอย่างไร ตั้งจิตด้วยเมตตาว่าขออย่าให้มีการทำลายล้างถึงกับใช้กำลังเช่นฆ่ากันเลย ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างความชอบธรรมด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนกับว่าความวุ่นวายกำลังรอการปะทุ เจ้าแมวที่เลี้ยงไว้สี่ห้าตัวก็เข้ามาคลอเคลียส่งเสียงร้องบอกให้รู้ว่าหิวแล้ว บังเอิญว่าเช้าวันนี้ไม่มีอาหารสำหรับแมวเหลืออยู่เลย คงต้องปล่อยให้แมวหิวรอจนกว่าแม่ค้าขายปลาทูจะผ่านมาในช่วงก่อนเที่ยงวัน แมวหิวก็แสดงอาการว่าหิวคิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น
แต่ทว่ามนุษย์ปากกับใจไม่ตรงกัน ยากที่จะเข้าใจ มนุษย์เป็นสัตว์ที่คิดได้ แต่อาจจะไม่ทำเหมือนที่คิด ไม่เหมือนสัตว์ดิรัจฉานที่คิดอย่างไรก็กระทำอย่างอย่างนั้น ดังที่นายเปสสหัตถาโรหบุตรได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในกันทรกสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (13/3/3) ความว่า “ข้าพระพุทธเจ้าสามารถจะให้ช้างที่พอฝึกแล้วแล่นไปได้ ช้างนั้นจักทำนครจำปาให้เป็นที่ไปมาโดยระหว่างๆ จักทำความโอ้อวด ความโกง ความคด ความงอ นั้นทั้งหมดให้ปรากฎ
ส่วนมนุษย์คือทาส คนใช้หรือกรรมกรของข้าพระพุทธเจ้า ย่อมประพฤติด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง และจิตของเขาเป็นอย่างหนึ่ง น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคชื่อว่าย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ในเมื่อมนุษย์รกชัฏเป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกากเป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์โอ้อวดเป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์”
พระพุทธเจ้าได้แสดงบุคคลสี่จำพวกแก่นายเปสสหัตถาโรหบุตร(13/4/3) ความว่า “ดูกรเปสสะ สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์ ดูกรเปสสะ บุคคลสี่จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลกสี่จำพวกคือ
(1)บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบการขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน
(2)บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
(3)บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนและประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
(4)บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนนั้น ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน ดูกรเปสสะ บรรดาบุคคลสี่จำพวกนี้ จำพวกไหนจะยังจิตของท่านให้ยินดี
นายเปสสหัตถาโรหบุตรตอบว่า “บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็นเสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน บุคคลนี้ย่อมยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดี”
พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า “ดูกรเปสสะ ก็เพราะเหตุไรเล่า บุคคลสี่จำพวกนี้ จึงยังจิตของท่านให้ยินดีไม่ได้"
นายเปสสหัตถาโรหบุตรได้ทูลตอบว่า(13/6/5) “พระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำตน ให้เดือดร้อนนี้ เขาย่อมทำตนซึ่งรักสุข เกลียดทุกข์ ให้เดือดร้อน เร่าร้อน ด้วยเหตุนี้บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้
แม้บุคคลผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาก็ย่อมทำผู้อื่นซึ่งรักสุข เกลียดทุกข์ ให้เดือดร้อนเร่าร้อน ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้
แม้บุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อนและประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาก็ย่อมทำตนและผู้อื่นซึ่งรักสุข เกลียดทุกข์ให้เดือดร้อนเร่าร้อน ด้วยเหตุนี้บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้
ก็แลบุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้ย่อมยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้ พระพุทธเจ้าข้า”
มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยมักจะทำตนให้เดือดร้อน และทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มองไปที่อื่นมักจะมองว่าหากข้างนอกสงบตัวเองก็สงบ ไม่ได้มองย้อนกลับเข้ามาที่จิตใจของตนเองว่าความเดือดร้อนและความวุ่นวายทั้งหลายส่วนหนึ่งมาจากความคิดจิตใจของเราเองที่ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องอื่น ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้โลกจึงจะสงบสุข ต้องเป็นไปตามกฎกติกา ต้องเป็นไปตามกฎหมายเป็นต้น
อีกฝ่ายคิดในทางตรงกันข้ามว่า เพราะมีกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม มีระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพร้องนี่แหละที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ทุกอย่างต้องมีความเป็นธรรมกับคนทุกฝ่าย กฎกติกานั้นจึงจะเหมาะสมและสมควรกับการให้การยอมรับและถือปฏิบัติ ทางออกของปัญหาคือต้องแก้ระบอบให้มีความเป็นธรรมเสียก่อน จากนั้นจึงทำงานร่วมกันภายใต้ระบอบที่มีความเป็นธรรม
บุคคลทั้งสี่ประเภทนั้นมีอยู่ในโลกมาทุกยุคทุกสมัย แก้ปัญหาได้เรื่องหนึ่งก็มักจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาก็ต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาเรื่อยไป เพราะสิ่งที่เป็นปัญหานอกจากจะมาจากภายนอกแล้ว ปัญหาส่วนหนึ่งมักจะมาจากความคิดจิตใจของมนุษย์นั่นแล เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความรกชัฎภายใน จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง ดังที่นายเปสสหัตถาโรหบุตรบอกว่า “สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
28/01/57