สองสามวันมาแล้วที่อากาศหนาวเริ่มมาเยือน แม้จะไม่หนาวมากนักแต่พอถึงกลางคืนก็ต้องหาผ้าห่มมาห่มคลุมกายเพื่อให้หายหนาว อากาศแบบนี้เย็นสบายดี อารมณ์ก็แจ่มใส ส่วนใครที่ต้องการไปสัมผัสอากาศหนาวก็ต้องไปที่ภาคเหนือของประเทศไทยหรือไปประเทศที่หนาวเย็นเป็นนิจสิน สำหรับประเทศไทยบางแห่งมีหมอกลงจัด มีน้ำค้างเกาะพราวตามยอดหญ้า แสงแดดยามเช้าทักทายกับสายหมอกเป็นประกายวาววับประหนึ่งภาพวาดแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครไปแต่งแต้ม สีสันและความงามมีอยู่ในธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นไปตามที่ควรจะเป็น พอแดดกล้าน้ำค้างก็เหือดหาย เหมือนชีวิตมนุษย์ที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ไม่มีใครมีสุขโดยส่วนเดียวและไม่มีใครระทมทุกข์อยู่ตลอดกาล
ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่งกสิกะ ชินากรณ์ อาจารย์หนุ่มผู้สอนวิชาสุนทรียศาสตร์และวิชาทางปรัชญาอีกหลายวิชา กำลังนั่งพักผ่อนอิริยาบถอย่างสลายอารมณ์ หลวงตาไซเบอร์ ฯ กำลังว่างพอดี วันนี้ไม่มีสอน จึงเดินเข้าไปหา ก่อนจะเอ่ยทักว่า “สบายดีอยู่หรือ”
กสิกะบอกว่า “ยังพออดพอทนครับ ผมกำลังสงสัยว่าในธรรมชาตินั้นอะไรคือความจริง สิ่งที่เราเห็นหรือว่า สิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งที่ปรากฏให้เราเห็น กับสิ่งที่เป็นจริงอะไรคือความจริง”
เจอคำตอบเชิงปรัชญาเข้าทำเอางง แทนที่จะได้คำตอบกลับกลายเป็นคำถาม ก่อนจะบอกว่า “คำถามนี้ฟังยากช่วยอธิบายหน่อยประไรว่ามันหมายถึงอะไร”
ผมพึ่งสอนวิชาอภิปรัชญาให้กับนักศึกษา ในการบรรยายนั้นไม่ได้ยากเพราะอาศัยตำราก็อธิบายได้แล้ว แต่ที่ผมสงสัยคือสิ่งที่ตำราไม่ได้เขียน หรือเขียนไว้ไม่หมด ผมยังสงสัยอยู่ว่า “แท้ที่จริงแล้วอะไรคือความจริง ผมจะเชื่อทฤษฎีของใครดี”
“ทฤษฎีที่ว่าคืออะไรช่วยสาธยายขยายความสักนิดเผื่อบางทีอาจจะมีคำตอบก็ได้ “
กสิกะเริ่มจริงจังกับการอธิบาย “คือออย่างนี้นะครับ เรื่องของความจริงแท้นั้นนักปราชญ์ในอดีตพยายามหาคำตอบมานานแล้ว โดยได้ตั้งคำถามว่า “ความจริงแท้คืออะไร ผมแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า “What is reality” มีคำตอบจากคำถามนี้มากมาย ต่อมาได้กลายเป็นวิชาสาขาหนึ่งเรียกว่า “อภิปรัชญา” ซึ่งยังมีสอนกันในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง อภิปรัชญาพยายามหาคำตอบว่าความจริงแท้คืออะไร โดยผู้ให้คำตอบแยกออกตามความคิดเห็นของแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีอยู่ห้ากลุ่มและได้กลายมาเป็นทฤษฎีในการค้นหาความจริงแท้ห้าทฤษฎีได้แก 1. ทฤษฎีสสารนิยม (Materialism) 2. ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism) 3. ทฤษฎีเอกนิยม (Monism) 4. ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) 5. ทฤษฎีพหุนิยม (Pluralism) หลวงตาฯพอจะมีเวลาฟังอธิบายสักนิดไหมหละครับ”
หลวงตาฯ “ดีเหมือนกันได้ถกปัญหาทางปรัชญาสักหน่อยเพื่อกระตุ้นความคิด สมองไม่ค่อยได้คิดจะขึ้นสนิม ได้เคาะสนิมบ้างโดยการคิดบ้างคงปลอดโปร่งโล่งใจขึ้น”
กสิกะ ชินากรณ์ เริ่มสาธยายทฤษฎีต่างๆโดยสังเขปว่า “ทฤษฎีสสารนิยมหรือทฤษฎีวัตถุนิยม (Materialism) เป็นพวกที่ถือว่า สสารและปรากฏการณ์ของสสารเท่านั้นเป็นความแท้จริง จิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสสาร สรรพสิ่งในโลกล้วนแต่เป็นสสาร ทฤษฎีสสารนิยมยุคแรก ๆ อาจได้แก่แนวความคิดทางธรรมชาติ ที่เราเรียกว่าธรรมชาตินิยม เพราะถือว่า สสารเป็นความแท้จริง ชีวิตคือพลังงานทางฟิสิกส์และเคมีที่ซับซ้อน ส่วนจิตคือปรากฏการณ์ทางสมอง
สสารนิยม เชื่อว่าสสารเป็นบ่อเกิดของโลกจักรวาล มนุษย์ มีร่างกายที่ปรากฏอยู่ประกอบด้วยกลไกต่าง ๆ และทำงานได้ดุจเครื่องจักรกล ส่วนจิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ลักษณะต่าง ๆ ของจิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก นึกคิด ความเข้าใจ เป็นผลมาจากการรวมตัวของวัตถุหรือสสาร
โลกนี้มีแต่สสาร ไม่มีจิต เมื่อสสารประกอบกันถูกส่วนจึงมีความคิดเกิดขึ้น การที่มนุษย์คิดได้ก็เพราะมวลสสารผสมกันได้พอดี ลองนึกถึงสีแดงของคนที่กินหมากดูนะครับ สีแดงเป็นเพียงการผสมของปูนหมาก พลู ยาเส้น ผสมถูกส่วนก็เกิดสีแดงขึ้น ในอินเดียมีนักคิกกลุ่มหนึ่งมีความคิดในทำนองนี้คือพวกจารวาก ชีวิตและความคิดทุกอย่างเกิดขึ้นตามกฎที่ตายตัว โลกเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ตายตัวประกอบด้วยสสารและพลังงาน สสารจึงเป็นความแท้จริง ส่วนจิตคือการทำหน้าที่ของสมอง มนุษย์ตามทัศนะของพวกสสารนิยมจึงมีแต่สสารและพลังงานไม่มีจิตอยู่เลย
ความคิดในทำนองนี้มีมาแต่โบราณกาลไม่ได้สูญหายไปไหน แม้ปัจจุบันก็ยังมีผู้เชื่อตามความคิดนี้อยู่ ส่วนอีกพวกหนึ่งมองว่า “ความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียวคือจิต ส่วนสสารเป็นเพียงปรากฎการณ์ของจิตเท่านั้น จึงนิยมเรียกว่า “ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism) พวกนี้เรียกว่า “จิตนิยม” มีความเชื่อว่า “จิต เป็นอมตะ ไม่สูญสลาย ร่างกายของมนุษย์เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วขณะหนึ่งของจิต เป็นที่อาศัยชั่วคราวของจิต เมื่อร่างกายดับลง จิตก็ยังคงอยู่ ไม่แตกดับไปตามร่างกาย
พวกจิตนิยม พยายามที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองว่า จิตคืออะไร มีบ่อเกิดมาจากอะไร มีแหล่งที่มาอย่างไร มีธรรมชาติเป็นอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร เป็นการศึกษาโลกและธรรมชาติในลักษณะที่เป็นนามธรรม เพราะพวกเขาเชื่อว่า จิตเท่านั้นที่เป็นความแท้จริง สสารเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ หรือเป็นปรากฏการณ์ของจิต ไม่สามารถดำรงอยู่ชั่วกาลนาน หรือสสารจะต้องมีการแตกสลาย แต่จิตหรือวิญญาณไม่มีการแตกสลาย เป็นอมตะ ลักษณะของจิตหรือวิญญาณ จึงมีลักษณะต่าง ๆ ตามทัศนะหรือแนวความคิดของนักปรัชญาแต่ละท่าน
ชาวจิตนิยมบางท่านเชื่อว่า เมื่อร่างกายแตกดับ จิตจะกลับไปสู่แหล่งดั้งเดิม กล่าวคือจิตจะกลับเข้าไปสู่จิตสัมบูรณ์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้ จึงมีนักปรัชญาตั้งลัทธิหรือทฤษฎีขึ้นมาใช้อธิบายอีกทฤษฎีหนึ่งว่า “ทฤษฎีวิญญาณเป็นเนื้อสาร”
คำว่า “วิญญาณเป็นเนื้อสาร” ก็หมายถึงวิญญาณเป็นอมตะ คงที่ ไม่สูญสลาย ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าร่างกายจะสูญสลายหรือดับสูญไปก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณนี้ ได้มีการวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ส่วนลักษณะแนวคิดนั้น จะเหมือนกันบ้าง คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันบ้าง
หลวงตาไซเบอร์ฯ แม้จะเคยเรียนวิชาปรัชญา แต่เมื่อไม่ได้อ่านมานานก็เลือนๆไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีภูมิเหลืออยู่บ้าง จึงบอกว่า “ แหมเรื่องความแยกแยะนี้เข้าเข้าใจคิด ทำไมไม่ลองย้อนกลับมาคิดแบบองค์รวมบ้าง เช่นมีความเป็นไปได้ที่พวกสสารนิยมและจิตนิยมจะหันมาคิดแบบรวมกันคือ “โลกนี้มีทั้งสสารและจิตซึ่งเป็นความจริงแท้ทั้งคู่ อยู่ร่วมกันแยกกันไม่ได้ มีเพียงสสารบางอย่างที่ไม่มีจิต ส่วนสสารบางอย่างมีจิตแทรกอยู่ในสสารเช่นมนุษย์เป็นต้น อาตมาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยว่า “มนุษย์จะเป็นเพียงสสารอย่างเดียว หรือเป็นจิตอย่างเดียว”
เป็นแนวคิดตาม “ทฤษฎีเอกนิยม” ที่เชื่อว่าความจริงแท้จะต้องมีหนึ่งเดียว คุณต้องเลือกเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เหมือนที่นักการเมืองไทยชอบพูดแหละครับ “คุณต้องเลือกข้าง จะอยู่กลางไม่ได้ ไม่ดีก็ต้องชั่ว ไม่ผิด ก็ต้องถูก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเราตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ว่าใครดี ใครชั่ว ใครผิด ใครถูก ปัจจุบันผมจึงเลือกข้างไม่ได้สักที”
“เริ่มจะออกการเมืองแล้วนะท่านกสิกะ หากพูดเรื่องการเมืองวันนี้คงไม่จบ อาตมาจะเดือดร้อนไปด้วย ยิ่งมีข่าวพระสงฆ์ประกาศตัวเป็นแกนนำเข้าร่วมการชุมนุม นั่นก็ตอบคำถามสังคมได้ยากแล้ว เป็นพระเป็นเจ้าไม่อยู่วัดแต่กลับไปอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ควรจะอยู่กลับไม่อยู่ แหมพอพูดถึงการเมืองมันหาเงื่อนปมไม่พบเหมือนกลุ่มด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมด แล้วทฤษฎีต่อไปว่าอย่างไร”
“ทฤษฎีเอกนิยม” ผมขอผ่านนะครับ คล้ายๆกับสองทฤษฎีก่อนนั่นแหละครับ คือเชื่อว่าความจริงแท้มีเพียงสิ่งเดียวไม่เป็นสสารก็เป็นจิต จึงกลายเป็นเอกนิยมฝ่ายสสาร และเอกนิยมฝ่ายจิต
ส่วนทฤษฎีที่สามน่าจะตรงกับความคิดของหลวงตาฯ คือความจริงแท้ของสรรพสิ่งมีสองอย่างคู่กันทั้งรูปธรรม(สสาร) และนามธรรม(จิต) เรียกว่า “ทฤษฎีทวินิยม (Dualism)” มีนักปรัชญาจำนวนมากที่พยายามให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องของทวินิยม เพราะเชื่อว่ามนุษย์เรามีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณอยู่คู่กัน
เดส์การ์ตส์ (Descartes) ถือว่า ความแท้จริงมีสองอย่างคือ สสารและจิตวิญญาณ เพราะมนุษย์จะต้องประกอบด้วยร่างกาย และจิตวิญญาณ จึงจะสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ “กาย กับจิต” เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และเป็นคนละอย่างกัน กาย เป็น “สสาร” หรือรูปธรรม ส่วนจิต เป็น “อสสาร” หรือเป็นนามธรรม แต่ทั้งสองอย่างมีปฏิกิริยาต่อกัน กล่าวคือ กิจกรรมของกายก่อให้เกิดกิจกรรมของจิต และกิจกรรมของจิตก็ก่อให้เกิดกิจกรรมทางกาย เพราะทั้งกายและจิตมีความจริงเท่ากัน และมีอิทธิพลต่อกัน ที่เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “อันตรกิริยานิยม” (Interactionism) เช่น เมื่อเรารู้สึกกลัว หัวใจก็จะเต้นแรง แสดงว่าจิตมีอิทธิพลต่อกาย หรือเมื่ออยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว จะรู้สึกหงุดหงิด แสดงว่ากายมีอิทธิพลต่อจิต เป็นต้น”
“ฟังคำตอบของนักปรัชญาคนเดียวก็พอนะครับ พระพุทธศาสนามีคำตอบเกี่ยวกับความจริงแท้ไว้อย่างไรบ้างครับ” กสิกะหันมาถาม
นึกว่าจะได้ฟังแนวคิดทางปรัชญาอย่างเดียว เรื่องของศาสนาและปรัชญาแม้จะมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่การหาคำตอบแตกต่างกันอยู่บ้าง ปรัชญาคิดค้นหาคำตอบได้ แต่อาจจะไม่ปฏิบัติตามหรืออาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนคิดก็ได้ ส่วนทางด้านศาสนาเมื่อค้นหาคำตอบได้แล้วก็นำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติคือปฏิบัติตามสิ่งที่ตนคิดค้นหาคำตอบได้ เช่นเจ้าชายสิทธัตถะตั้งคำถามไว้ก่อนออกแสวงหาคำตอบว่า “ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์” จากนั้นก็พยายามค้นค้นศึกษาลงมือปฏิบัติจนได้คำตอบซึ่งเป็นที่มาของการเกิดพระพุทธศาสนา คือ “อริยสัจสี่ ประกอบด้วยทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และดำเนินสู่ความดับทุกข์ “ เมื่อได้ทฤษฎีก็สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่หาคำตอบได้แล้วไม่ทำตาม
คำสอนของพระพุทธศาสนาจึงแสดงความจริงแท้ไว้ในคำว่า “สัจจะ” ไว้สองประการคือสมมุติสัจจะความจริงโดยสมมุติ เป็นความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน ความที่ถือตามกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลกเช่น คน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น และปรมัตถสัจจะ คือความจริงโดยปรมัตถ์ ความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงกับสภาวะและเท่าที่จะกล่าวถึงได้เช่นรูป นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น
ในส่วนของมนุษย์ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งสสาร พลังงานและจิตมารวมกันเข้า จึงกลายเป็นความจริงขั้นสมมุติที่เรียกว่า “มนุษย์” แต่ถ้าแยกแยะออกไปโดยละเอียดแล้วมนุษย์ก็เป็นเพียงขันธ์ทั้งห้ามาประกอบกันคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยสรุปรูปก็คือ “รูปหรือสสาร” ส่วน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเรียกว่า “นามหรือจิต” ว่าโดยสรุปมนุษย์ก็คือส่วนประกอบของ “รูปกับนาม” หรือจะเรียกว่า “สสารกับจิต” ตามทฤษฎีทางปรัชญาก็ได้
รูปกับนามไม่เพียงแต่ให้รับรู้เท่านั้น แต่ให้รู้ว่าขันธ์เป็นภาระที่ทุกคนต้องแบก เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ควรวางภาระนั้นเสียจึงจะมีความสุข ดังที่แสดงไว้ในปัญจขันธสูตร (17/53/29) ความว่า “ขันธ์ห้าชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล เครื่องถือมั่นภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้งมูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้”
กสิกะ ชินากรณ์ แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าที่วันนี้ฟ้ายังสลัวแสงแดดจึงไม่แรงร้อนมากมัก “ฟังมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ควรปล่อยวางทฤษฎีทั้งหลายที่ได้ศึกษามาสิครับ เพราะผมไม่รู้จะแบกไว้ให้หนักทำไม เป็นทุกข์เปล่าๆ ผมรู้เพื่อรู้แต่ผมไม่ได้มีความรู้เพื่อละวาง ผมแบกความรู้ไว้มากมายสักวันคงทับผมตาย สู้ผมมีความรู้อย่างเดียวคือการพ้นทุกข์ชีวิตน่าจะสงบสุขได้แล้ว”
หลวงตาไซเบอร์ฯจึงบอกว่า “รู้นะดีแล้ว ดีกว่าไม่รู้ ที่สำคัญจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารู้หรือไม่รู้ มีเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร”
นั่นมันเป็นขอบข่ายของวิชา “ญาณวิทยา” ครับ เอาไว้วันหลังผมจะมาร่วมวงสนทนาอีกครั้ง ในส่วนของอภิปรัชญายังมีอีกทฤษฎีนะครับคือ “ทฤษฎีพหุนิยม” ที่ถือว่า ความแท้จริงของปฐมธาตุมีจำนวนมากมาย อาจจะเป็นรูปธรรม (สสาร) หรือนามธรรม (จิต) ก็ได้ นั่นคือความจริงแท้ของสรรพสิ่งไม่ขึ้นอยู่แก่กัน ต่างก็เป็นอิสระในตัวเอง ดังนั้น สรรพสิ่งที่มีจำนวนมากมายจึงไม่สามารถจะลดหรือทอนลงให้เหลือเพียงสิ่งเดียวได้
วันนี้อากาศเย็นพอสบายๆ แต่ลมสงบนิ่ง ต้นไม้ใบหญ้านิ่งไม่ติงไหว แดดเริ่มแรงขึ้น ความหนาวเริ่มจางหายกลายเป็นความอบอุ่นแห่งเหมันตฤดู ธรรมชาติมีความจริงแท้ให้นักปราชญ์ทั้งหลายได้ค้นหา นักปราชญ์เหล่านั้นพยายามหาตั้งคำถามว่า “อะไรคือความจริงแท้ (What is reality) จากนั้นจึงพยายามหาคำตอบ ซึ่งคำตอบบางอย่างอาจจะถูกต้องในสมัยหนึ่ง แต่ในอีกสมัยหนึ่งอาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย โลกนี้ยังมีคำถามอีกมายที่ยังรอคำตอบ โลกนี้ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
06/12/56