ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

             การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียในยุคใหม่ ผู้ที่ริเริ่มดำเนินการครั้งแรกแทนที่จะเป็นพระภิกษุกลับกลายเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง ที่ไม่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแต่ดำเนินวิถีชีวิตเหมือนพระภิกษุเรียกตัวเองว่าอนาคาริกหมายถึงผู้สละบ้านเรือนหรือผู้ไม่มีเรือนเป็นเหมือนนักบวช เขาคนนั้นคืออนาคาริกธรรมปาละชาวศรีลังกา บางครั้งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอาจจะต้องเริ่มต้นที่ชาวบ้านซึ่งจัดเข้าในบริษัททั้งสี่ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาคือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เพราะอนาคาริกธรรมปาละนี่เองจึงเกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนสู่่เดียอีกครั้งโดยดำเนินการอย่างเป็นระบบ

2. การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบ

              การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบในอินเดียเริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. 2434 (1891) พร้อมกับการมาถึงของอนาคาริกธรรมปาละ ชาวพุทธหนุ่มชาวสิงหล(ศรีลังกา) ผู้ที่ต่อมาได้กลายเป็นผู้ทำงานด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่คนแรกในยุคสมัยปัจจุบัน บทความเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของเซอร์เอ็ดวิน อาโนลด์ กระตุ้นให้ธรรมปาละเดินทางไปยังสารนาถและพุทธคยาในเดือนมกราคม 
              พ.ศ. 2434 (1891) เพื่อดูสภาพของสถานที่สักการะของพระพุทธศาสนาด้วยตนเอง เขาต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพที่เลวร้ายของสถานที่สักการะอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ พุทธคยานั้นเขามองไปที่การโจมตีของฮินดูมหัต (mahat) ที่ครอบครองวัดมหาโพธิ์ซึ่งถูกดูถูกและทำให้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอดสูใจ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปฏิสังขรณ์สถานที่อันศักด์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อเกียรติยศของบรรพชน และเพื่อสร้างให้เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา เขายังตกลงใจที่จะขอกระชับพื้นที่วัดมหาโพธิ์จากไศวมหัต ที่บรรพบุรุษได้เปลี่ยนศาสนาไปเป็นวัดของไศวะประมาณปลายศตวรรตที่16 เพราะเรื่องนี้ในความเห็นของเขาจึงได้สถาปนาสมาคมมหาโพธิ์แห่งอินเดียขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2434 (1891) หลังจากกลับศรีลังกาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาได้กลับมาอินเดียอีกครั้งและนิมนต์พระภิกษุ 4 รูปชาวศรีลังกาที่พักอาศัยในที่พักสงฆ์ของพม่า ที่ก่อสร้างโดยกษัตริย์มินดงในปี พ.ศ.2418 (1875) เพื่อให้ดูแลวัดมหาโพธิ์ นอกจากนั้นธรรมปาละยังได้จัดการประชุมพระพุทธสาสนานานาชาติขึ้น โดยจัดที่พุทธคยาในวันที่ 31 ตุลาคม 2434 (1891) มีตัวแทนจากศรีลังกา,จีน,ญี่ปุ่นและจิตกอน(บังคลาเทศ) เข้าร่วมในการประชุมนี้ และได้ช่วยกันพิจารณาหาแนวทางที่จะรักษาโพธิบัลลังค์ที่พระพุทธเจ้าใช้ประทับนั่งในวันตรัสรู้ จากความเสื่อมโทรมต่อไป
              ในปีพ.ศ. 2434 (1891) เป็นปีที่น่าจดจำอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย ในปีเดียวกันนั่นเอง พระกริปาสารันมหาสถวีระ พระภิกษุชาวเบงกอลได้ก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งเบงกอลขึ้น หรือธัมมันกุรสาบาห์ (Dharmankur Sabha) อีกเหตุการณ์หนึ่งคือนาย เรีย แห่งบัตติโปรลูได้ค้นพบโกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในอันตรประเทศ เหตุการณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในปี  คือวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2434 เป็นวันเกิดของ พิม ราโอ เอ็มเบ็ดการ์ มหาบุรุษผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอีก 65 ปี ต่อมา ยิ่งกว่านั้นในเวลาใกล้เคียงกัน พระมหาวีระ ชาวอินเดียคนแรกที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้สร้างที่พักสงฆฺขึ้นที่กุสินาคาร์(กุสินารา) สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นกุสินาคาร์ยังเหลือซากที่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำที่ประชาชนยังกลัวที่เข้าไปที่นั่น เมื่อพระมหาวีระมาถึงจึงได้สร้างกุสินาคาร์ให้เป็นสถานที่สักการะที่เข้าถึงได้สะดวกขึ้น

              ต้นปี พ.ศ. 2435 (1892) เจ้าหน้าที่ของมหาโพธิสมาคมได้ย้ายที่ทำการไปที่เมืองกัลกัตตา เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2435 (1892) อนาคาริก ธรรมปาละได้เริ่มออกวารสารมหาโพธิ์ ซึ่งยังคงเป็นวารสารที่ยังคงเสนอบทความธรรมะในส่วนต่างๆของโลก ในปีเดียวกันที่นักวิชาการชาวอินเดีย ได้ถูกปลุกให้ตื่นโดยความเพียรพยายามของนักวิชาการชาวตะวันตก ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ขึ้นที่เมืองกัลกัตตา สมาคมนี้ได้จัดพิมพ์ตำราทางพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากในภาษาของชาวอินเดียที่มีพื้นฐานบนการวิจัยอย่างจริงจังของราเชนทร ลาล มิตรา,ฮารา ประสาท ศาสตรี, สารัต จันทรา ทัส,สาธิต จันทรา วิทยาภูสาน ในปีเดียวกันนี้ยังมีบันทึกการค้นพบประกาศบนแผ่นหินของพระเจ้าอโศก 3 แผ่น ที่พรหมคีรี,ไชทินกา-ราเมศวร และสิทธาปุระในเมืองจิตราทูรกะ การนาตะกะ
              ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2436 (1893) ธรรมปาละได้เข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐสภาแห่งศาสนาที่ชิคาโกสหรัฐอเมริกา โดยวิธีนี้ทำให้เขาต้องย้อนกลับไปเยี่ยมชมฮาวาย,ญี่ปุ่น,จีน,ไทยและมาเลเชีย(Malaya) ที่โฮโนลูลุ เขาได้พบสุภาพสตรีท่านหนึ่งโดยบังเอิญ(โดยไม่คาดฝัน) คือนางแมรี่ อี. ฟอสเตอร์ ซึ่งในปีต่อมาได้กลายเป็นผู้อุปถัมภ์การดำเนินการที่สำคัญอย่างยิ่งของธรรมปาละและบริจาคเงินมากกว่า 1 ล้านรูปี  
              ใน ปี พ.ศ. 2439 (1896)มีหลักฐานว่า พูห์เลอร์ ได้ค้นพบเสาหินพระเจ้าอโศกที่รุมมินเดย์ (ลุมพินี) เสาหินนี้ได้เพิ่มคุณค่าในความเป็นจริงในพุทธประวัติ ตามจารึกที่กล่าวไว้ว่า “พระพุทธเจ้าศักยมุนีประสูติที่นี้” สองปีต่อมา พ.ศ. 2441 (1898) ได้ค้นพบโกศบรรจุอัฐิในสวนลุมพินี โดยเจ้าของพื้นที่ บนโกศมีคำจารึกว่า “โกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของศากยพุทธเจ้า”
              ในปี พ.ศ. 2443 (1900) เป็นปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำหรับการดำเนินการเพื่อฟื้นฟู พระพุทธศาสนา ในปีนี้มหาโพธิสมาคมได้เปิดสาขาขึ้น 2 แห่งที่มัทราสและกุสินาการ์ ในปีเดียวกันนั่นเองบัณฑิตอโยธยา ทาสาได้ก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งอินเดียใต้ขึ้นมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองมัทราส ประธานคนแรกคือบัณฑิตอโยธยาทาสา ส่วนคนที่ 2 คือศาสตราจารย์ พี.ลักษมี นราสุ ได้ทำการเผยแผ่ธรรมะในอินเดียใต้ตั้งแต่นั้นมา มีสาขาถึง 6 แห่งในรัฐการนาตกะและทมิฬนาดู
              ในปี พ.ศ. 2445 (1902) มหาวีระสวามีได้สร้างพุทธวิหารแห่งแรกขึ้นในอินเดียสมัยใหม่ที่กุสินาคาร์ โดยทำการปฏิสังขรณ์และกู้ฐานะกุสินาคาร์คืนมาอีกด้วย ในปีนี้ยังได้ค้นพบเสาหินอโศกที่รัมปูรวะที่รัฐพิหาร   ในปี พ.ศ. 2446 (1903) กริปสรันมหาสถวีระได้สร้างธัมมันกุรวิหารขึ้นที่กัลกัตตา ตั้งแต่นั้นมาวิหารแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของพุทธสมาคมแห่งเบงกอล สมาคมซึ่งได้ทำการกระตุ้นสมาชิกแห่งเบงกอล ผู้ซึ่งจะกำเนิดเป็นชาวพุทธโดยกำเนิด ที่เคยลืมเลือนสาระแห่งพุทธธรรมในปี พ.ศ. 2447 (1904) ได้ค้นพบเสาหินพร้อมสิงห์สี่เศียรของพระเจ้าอโศกที่มีชื่อเสียงที่สารนารถ ซึ่งต่อมาได้ดัดแปลงเป็นสัญลักษณ์ (ตราเครื่องหมาย) ประจำชาติอินเดีย

              พ.ศ. 2452 (1909) ดร. ดี.บี. สมูนเนอร์  จากโครงการสำรวจทางโบราณคดีแห่งอินเดีย ได้ทำงานด้วยความเพียรพยายามที่สาทจิ-ติ-เทหริ (Kanishka Stupa) ที่เมือง เปซาวาร์(Peshawar) จึงได้ค้นพบโกศโลหะที่มีเครื่องประดับบนยอด มีรูปเหมือนพระพุทธเจ้าในท่าประทับนั่ง ด้านในมีกล่องเล็กๆเป็นภาชนะที่มีรูปร่างทำด้วยแก้วเจียรนัย ปากปิดด้วยตราประทับดินเหนียว มีลักษณะคล้ายช้าง ด้านล่างภาชนะบรรจุรูปจำลองของกษัตริย์กนิษกะ ภายในภาชนะบรรจุพระบรมสาริกธาตุของพระพุทธเจ้า ตามคำจารึกกล่าวไว้ว่า กษัตริย์กนิษกะตั้งไว้ในที่บูชา การค้นพบพระบรมสาริกธาตุเหล่านี้ สร้างความรู้สึกในโลกแห่งพระพุทธศาสนาได้อีกทางหนึ่ง และเพิ่มโฉมหน้าของพระพุทธศษสนาอีกทางหนึ่งด้วย  พระบรมสารีริกธาตุเหล่านนี้ในที่สุดก็ได้นำไปบรรจุในโกศทองคำที่สวยงาม รัฐบาลอินเดียได้มอบให้ชาวพุทธในพม่าใน พ.ศ. 2457 (1914) เซอร์จอห์นมาแซล ได้ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าในขณะที่ทำการขุดเจาะธรรมราชิกวิหาร ที่ตักศิลา ตามคำจารึกในที่เก็บที่ทำด้วยทองคำกล่าวไว้ว่า “พระบรมสารีริกธาตุเป็นของพระพุทธเจ้า ตั้งไว้ในที่บูชาโดยอุราสกะ    เชื้อพระวงศ์แห่งอินทราวหเรีย บักเตรียน ที่อาศัยอยู่ในเมืองโนเอชา (Noacha) ในปี ที่ 136 แห่งราชวงศ์เอเวส์ (Azes) วันที่ 15เดือนอาสาทห์ (Asadha) โกศที่บรรจุพระธาตุที่สำคัญ 2 อันของพระพุทธเจ้าถูกค้นพบจากวิหารหลังเล็กๆ 2 หลังใกล้ๆ ธัมมราชิกสถูป พระธาตุเหล่านี้รัฐบาลอินเดียมอบให้ชาวพุทธในศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2460 (1917)  และนำไปประดิษฐานไว้ที่วัดทูตที่แคนดี้ (Dalada Maligawa) โกศบรรจุพระธาตุอื่นๆอีกยังถูกค้นพบในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จากสูปที่สร้างด้วยอิฐ บางที่อาจจะเป็นยุคก่อนพระเจ้าอโศก โกฐบรรจุพระธาตุนี้ เป็นพระธาตุที่ค้นพบในสถูปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า มรรคาแห่งพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมได้ถูกนำไปสู่แสงสว่างอันชัดเจน
              วิหารแห่งแรกที่สร้างโดยสมาคมมหาโพธิ์แห่งอินเดียคือศรีธัมมราชิกไชตยวิหาร อันงดงามที่เมืองกัลกัตตา ซึ่งมีพิธีเปิดเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2463 (1920) ในวิหารนี้มีพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบในโกฐแก้วหินคริสตัลระหว่างการขุดค้นที่ปัตติโปรลูในอันตรประเทศประดิษฐานไว้ พิธีฉลองวิหารมีลอร์ดโรนัลเชย์ (มาควิสแห่งเชดแลนด์) เป็นประธาน ธัมมราชิกวิหาร เป็นสำนักงานใหญ่ของมหาโพธิสมาคม หลายปีต่อมาก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการดำเนินการคฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย
              มีจุดเด่นที่ควรนำเสนอคือเรื่องราวของพระมหาวีระ สวามี และพระกริปสรันมหาสถวีระ ในการดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ภิกษุรูปอื่นๆทีมีชื่อเสียงในทำนองเดียวกันคือ พระโพธนันทะมหาสถวีระ พระโพธินันทะ เป็นภิกษุรูปแรกที่สนใจต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในพ.ศ. 2439 (1896)เมื่อเขาได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่เมืองบานารัส (พาราณสี) และตัดสินใจอุปสมบทเป็นภิกษุใน ในพ.ศ. 2457 (1914) ด้วยความช่วยเหลือพระกริปสรัน มหาสถวีระ แต่ในเวลานั้นยังไม่มีสมมุติสีมาในอินเดียเพื่อใช้ในการอุปสมบท พิธีอุปสมบทของพระโพธนันทะจึงกระทำกันในเรือกลางแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ (Ganges) ใกล้เมืองกัลกัตตา โดยมีพระภิกษุชาวพม่า,ศรีลังกาและจิตกอง (บังคลาเทศ) แม้แต่อนาคาริกธรรมปาละก็ได้เข้าร่วมในพิธีอันถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วย หลังจากการอุปสมบทนี้แล้ว พระโพธนันทะก็ได้เดินทางกลับไปลัคเนาว์ และได้สร้างให้เป็นศูนย์กลางเพื่อดำเนินกิจการ                        
            ในการเคลื่อนไหวนับตั้งแต่นั้นมา ในพ.ศ. 2459 (1916) ท่านโพธนันทะได้สถาปนาพุทธสมาคมแห่งอินเดีย (ภารติยพุทธสมิติ,Bhartiya Baudh Samiti ) ใน พ.ศ. 2468 (1925) ท่านได้สร้างวิหารอันสวยงาม ริสาลดาร์ ปาร์ค เมืองลัคเนาว์ ด้วยการเทศนาของพระโพธนันทะมหาสถวีระ ด้วยบรรยากาศที่น่าศรัทธา ทำให้เกิดการกระตุ้นให้การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียเหนือเป็นไปด้วยความราบรื่น และชาวพุทธส่วนมากก็สามารถนำหลักธรรมะไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

              ส่วนในอินเดียตะวันตก การดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ได้เริ่มต้นขึ้นโดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ 2ท่านคือดร.อามันโด แอลเนียร์และท่านธัมมนันทะ โกสัมพี  ดร. อามันโดได้ก่อตั้งสมาคมพระพุทธเจ้าขึ้น ที่เมืองบอมเบย์ ใน พ.ศ. 2455 (1922) และสร้างวิหารหลังแรกขึ้นในชื่อว่าอานันทวิหารในเมืองบอมเบย์ ใน พ.ศ. 2474 (1931)สมาคมพระพุทธเจ้าทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่นิยมทั่วไปในอินเดียตะวันตก โดยเผยแผ่ผ่านทางหนังสือพิมพ์ฉบับแรกคือ พุทธปุนิมา (Buddha Purnima) ต่อมาจึงได้ออก “ธัมมจักร : กงล้อแห่งธรรม”  ธัมมนันทะ โกสัมพีเป็นนักวิชาการชาวอินเดียทางด้านภาษาบาลีคนแรก เขาได้เขียนหนังสือทางพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากในภาษามารธีและกูจารธี(Marathi and Gujarati)  ผลงานทุกชิ้นของท่านได้กระตุ้นให้เกิดความเร่าร้อนในการศึกษาวรรณคดีภาษาบาลีและพุทธธรรมอย่างแพร่หลาย ใน พ.ศ. 2480 (1937) เขาได้สร้างวสิหารหลังเล็กๆขึ้นที่พาเรล (Parel) บอมเบย์โดยเรียกชื่อว่า “พหุชนวิหาร” (Bahujana Vihar)  ซึ่งเป็นไปตามความต้องการหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณของกรรมกรผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนั้น ผู้นำชาวพุทธในอินเดียตะวันตกอีกคนคือ ศาสตราจารย์ เอ็น เค. ภควัต ลูกศิษย์ของธัมมนันทะ โกสัมพี
              ศาสนาของพระพุทธเจ้าได้สร้างสรรค์ความก้าวหน้าที่มีนัยสำคัญในเมืองเคราลา ด้วยบทสนทนาของ ซี. กฤษนันท์ บรรณาธิการหนังสือมิตาวตี ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานพุทธสมาคมแห่งเคราลา ซึ่งตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2468 (1925) มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองคาลิคัส ภิกษุธัมมักขันธ์ ชาวเมืองมัลยาลิ ได้รับการศึกษาที่ศรีลังกาได้ให้การช่วยเหลือกฤษนันท์ และเป็นเพื่อนร่วมงานของกฤษนันท์ในการสนทนาธรรม เพื่อเผยแผ่ต่อสาธารณชนในรัฐนั้น
              ในปี พ.ศ. 2471 (1928) มีการประชุมชาวพุทธทั้งหมดในอินเดีย จัดที่หอประชุมมหาโพธิสมาคม เมืองกัลกัตตา โดยมีชีฟ จรัล ลาล แห่งลัคเนาว์เป็นประธานมีตัวแทนเกือบ 300 คน ที่เข้าร่วมในการประชุมชาวพุทธครั้งแรกนี้ ศาสตราจารย์ ที.เอ็ม.บารัว เป็นประธานคณะกรรมการแผนกต้อนรัน
              การตัดสินใจในการประชุมที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการเรียกร้องขออัฐิของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะที่ถูกนำไปเมืองลอนดอน จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบริต์คืนกลับมา
              ในปี พ.ศ. 2471 (1928) มหาสถูปที่นาครชุนคนทาได้ถูกขุดค้น ทำให้ได้พบวัตถุโบราณที่สำคัยหลายอย่างเช่นหม้อ (โกศ) ใส่อัฐิ เครื่องปั้นดินเผาที่แตกหัก ซึ่งระบุว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จากการขุดค้นและการสำรวจทำให้เกิดการคาดคะเนได้ว่าสถูปน่าจะสร้างในระหว่างคริสตวรรตที่ 3 (พ.ศ. 800) สร้างในรูปแบบกงล้อธรรมจักรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จักกันดี
              ในปี พ.ศ. 2472 (1929) คำประกาศบนแผ่นหินพระเจ้าอโศก 32 แผ่นได้ถูกค้นพบที่เชอรากุฎีในเมืองเดอร์พูล รัฐอันตรประเทศ สองปีต่อมาคือ ในปี พ.ศ.2474 (1931) ประกาศบนแผ่นหินพระเจ้าอโศกได้ถูกค้นพบที่การิมาชและปันจิกุนดู เมืองไรเซอร์  รัฐอันตรประเทศ
              ในปี พ.ศ.2474 (1931) มหาโพธิสมาคมแห่งอินเดียได้สร้างมูลคันธกุฏิอุนสวยงามขึ้นที่สารนารถ ซึ่งใช้เงินเป็นจำนวนมาก บนยอดคันธกุฏิได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบจากธรรมราชิกวิหาร ในตักศิลา การสร้างมูลคันธกุฏินับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของอนาคาริกธัมมปาละ  หลังจากนั้นท่านได้สร้างเมืองสารนารถให้เป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนาสำหรับยุคสมัยปัจจุบัน โดยสร้างห้องสมุดพระพุทธศาสนาขึ้น ท่านบัณฑิต ซีโอ นาราชิน ผู้บุกเบิกในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในปัญจาบ ได้บริจาคหนังสือส่วนตัวจำนวนมากให้แก่ห้องสมุดนี้ด้วย
              อนาคาริกธรรมปาละ ผู้ซึ่งได้รับการสมมุติชื่อในยุคนั้นว่า “ศรีเทวมิตตาธรรมปาละ” ได้เข้าสู่สังฆมณฑลในปี 2474 (1931) และเสียชีวิตในอีกสองปีต่อมาคือ พ.ศ.2476 (1933) ในขณะที่ภาระหน้าที่ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาของเขายังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่เพื่อนร่วมงานและลูกศิษย์ก็ได้ช่วยกันสานต่องานต่อไป ที่มีชื่อเสียงในยุคต่อมาคือท่านเทวปริยา วาลิสิงห์,พระสังฆรัตนะและพระชินรัตนะ จากปี พ.ศ.2474 (1931) เป็นต้นมาเมืองสารนารถก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อมหาชน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือวารสาร “ธรรมทูต (DHARMADUTA) ออกเป็นภาษาฮินดี ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2478 (1935) นับเป็นผลงานที่ช่วยเหลือในการเผยแผ่พุทธธรรมสู่มหาชนได้อย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพสำหรับมหาชนที่ใช้ภาษาฮินดีในอินเดียเหนือ

              ในปี พ.ศ.2482 (1939) มหาโพธิสมาคมได้เปิดสาขาขึ้นที่นิวเดลี ด้วยการสร้างวิหารแห่งแรกขึ้นที่เมืองหลวงของอินเดีย ต่อจากนั้นวิหารแห่งอื่นๆก็ได้รับการก่อสร้างขึ้นเรื่อยๆก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราช เช่นวัดเทวสังฆปาณี ในอัสสัม พ.ศ.2482 (1939),พุทธวิหารในบังกาลอร์  พ.ศ.2483 (1940),เวณุวันวิหารในอการตลา ในปี พ.ศ.2489 (1946),และมัทราชวิหาร (เคนเนสเลน) ในปี พ.ศ.2490 (1947)
              ในบรรดานักเขียนที่แสดงบทบาทในการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนานั้น ชื่อของมหาบัณฑิต ราหุล สันกฤตยายัน,พระอนันต์ เกาสันยยันและพระจักดิษฐ์ กัสยัป(ภาษาบาลีออกเสียงเป็นกัสปะ) นับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่คนรู้จักมากที่สุด ท่านราหุลจิ เป็นนักเขียนที่มีผลงานมากมายในภาษาฮินดี มีผลงานทั้งที่เป็นนวนิยาย,ประวัติศาสตร์,วิทยาศาสตร์,ปรัชญา,บันทึกการเดินทาง,ชีวประวัติบุคคลสำคัญ เป็นต้น ท่านยังเป็นนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย และเป็นนักเดินทางผจญภัยโดยเคยเดินทางไปถึงทิเบตถึง 3ครั้งยังได้นำหนังสือเก่าที่เป็นลามมือเขียนภาษาทิเบตมาด้วย แปลความหมายเป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์เองความเพียรพยายามของท่านราหุลจิ เพื่อเติมความรู้สึกในความต้องการศึกษาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาของคนอินเดียที่ใช้ภาษาฮินดี อันเป็นภาษาประจำชาติของอินเดีย ในการดำเนินงานด้านนี้ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานที่สำคัญคือพระภทันต์ อนันท์เกาสัลยยันและพระจักดิษฐ์ กัสยัปนั่นเอง,
              การได้รับแรงบันดาลใจในการดำเนินกิจกรรมของมหาโพธิสมาคมแห่งอินเดีย ทำให้ชาวพุทธที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขา ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธมามกะมาเป็นเวลายาวนาน จนกลายเป็นความสำนึกในภาระหน้าที่ของชาวพุทธที่จะต้องพิทักษ์รักษาวิถีการดำเนินชีวิตแบบพุทธศาสนิกชน แม้ว่าการจัดกิจกรรมทางศาสนาและสอนพุทธธรรมจะอยู่ในวงจำกัดในสังคมของพวกเขาเอง โดยอาศัยพุทธสมาคมแห่งลาดักส์ที่สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ.2480 (1937) โดยท่านกโลนตเซวัง ริกชินและท่านมุนชิ โซนัม ตเซวัง,พุทธสมาคมอัสสัมสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ.2482(1939)โดยพระนันทพรรษา มหาสถวีระและพระชินรัตนะ มหาสถวีระ และพุทธสมาคมแห่งหิมาลัย คุรุมนาสี สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ.2485 (1942)โดยพระกุศักด์ ภกุล
              การดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบโดยอาศัยผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์เพื่อการบูรณะสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังมีพระภิกษุชาวอินเดียอีกหลายรูปร่วมมือกันเพื่อที่จะทำให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่มาตุภูมิและกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีตอีกครั้ง



พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
แปลจาก D.C. Ahir,Buddhism in  Modern India,New Delhi:Kiram Mudram Kendra,1991. 
แก้ไขปรับปรุง 22/01/54

ภาพประกอบพระมหาสมศรี ปญฺญาสิริ

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก