รู้สึกตัวอีกครั้งขอบฟ้าเบื้องบุรพทิศก็เริ่มมีแสงสีทองรำไร เสียงค้างคาวเริ่มบินกลับเข้าถ้ำแล้ว พระสงฆ์ก็ได้เวลาออกโคจรบิณฑบาต หลังเสร็จภัตตกิจจึงได้เล่าเรื่องฝรั่งคนนั้นให้หลวงพ่อฟัง ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีบอกเพียงสั้นๆว่า “เมื่อเดือนก่อนมีฝรั่งนักท่องเที่ยวเสียชีวิตในถ้ำศพลอยขึ้นตรงที่ท่านกลางกลดพักอยู่พอดี ผีฝรั่งนี่แปลกไม่ยอมพูดภาษาไทย พูดแต่ฝรั่งเลยไม่มีใครบอกทางได้ เพราะผมก็พูดฝรั่งไม่ได้เหมือนกัน ท่านบอกทางผีฝรั่งว่าอย่างไร” หลวงพ่อเอ่ยถาม
จึงบอกท่านไปว่า“ผมจำได้ลางๆว่าบอกให้ฝรั่งเดินตามธารน้ำขึ้นไปจากนั้นก็นั่งรถยนต์โดยสารไปที่สนามบินแม่ฮ่องสอนนั่งเครื่องบินไปลงที่เชียงใหม่ ต่อเครื่องไปที่กรุงเทพฯและขึ้นเครื่องตรงไปที่สหรัฐอเมริกา ผมบอกไปอย่างนั้นแหละครับ”
หลวงพ่อบอกสั้นๆว่า “ทำไมผีมันเหมือนคน ท่านพูดภาษาอะไรกับฝรั่ง” จึงบอกว่า “พูดภาษาอังกฤษครับ บังเอิญผมเคยเรียนมาบ้างจึงพอฟังและพูดกันรู้เรื่อง”
“ผีฝรั่งคนนี้แปลกปรกติภาษาธรรมและภาษาจิต จะพูดกันรู้เรื่องในหมู่วิญญาณทั้งหลาย สามารถสื่อความหมายกันได้ มนุษย์อาจพูดกันหลายภาษา แต่วิญญาณส่วนมากจะพูดภาษเดียวกัน เรื่องทางจิตวิญญาณพูดยากอธิบายยากต้องประสบด้วยตนเอง” หลวงพ่อยิ้มเหมือนสงสัย
“จากวันนั้นมาผมก็มีความสุขกับการทำสมาธิภาวนาหาความสงบที่หน้าถ้ำน้ำลอดแห่งนั้น กลางวันหลบเข้าป่าลึก พอกลางคืนกลับมาหน้าถ้ำ วิญญาณฝรั่งตนนั้นไม่เคยย้อนกลับมาหาอีกเลยคงเดินทางกลับประเทศไปแล้วจริงๆ ผมก็ยังไม่เข้าใจจนถึงปัจจุบันนี้ว่าทำไมผีฝรั่งตนนั้นถึงกลับบ้านไม่ถูก จำทางกลับบ้านไม่ได้” ปุญญมโนก็ยังงงสงสัยกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
การเรียนของผมน่าจะสิ้นสุดลงตั้งแต่วันนั้นแล้ว ถ้าไม่มีครูที่ไม่ทอดทิ้งศิษย์ยอดของอาจารย์ที่ปรึกษาคนนั้น วันนั้นบ่ายคล้อยไปแล้วแสงตะวันเริ่มอ่อนแสงลงบรรยากาศเริ่มหนาวเย็น สรรพสิ่งรอบข้างกำลังจะเข้าสู่ความสงบเงียบเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่ทว่าในท่ามกลางความสงบนั้น สามเณรรูปหนึ่งบอกว่ามีคนมาหาให้ไปพบที่ศาลาการเปรียญ ทั้งๆตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าจะมีใครที่ไหนจะมาพบในท่ามกลางป่าเขาอย่างนี้ ในวันออกเดินทางก็ไม่ได้บอกจุดหมายว่าจะไปที่ไหนบอกสามเณรที่กุฏิรูปเดียวว่าจะไปแม่ฮ่องสอนเท่านั้นเอง
ความคิดก็หยุดชะงักเมื่อมองไปที่ศาลาเห็นชายผมขาวคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นหน้าก็จำได้ทันทีเพราะชายคนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผมขาวโพลนทั้งศีรษะทั้งๆอายุยังไม่ถึงหกสิบปีแต่แก่เกินวัย ชื่อของชายผมขาวคนนั้นคือรองศาสตราจารย์ ดร.บุณย์ นิลเกษ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของผมนั่นเอง
รองศาสตราจารย์ ดร.บุณย์ นิลเกษพูดคุยสักพักก็บอกว่าเก็บเข้าของกลับวัดได้แล้ว พรุ่งนี้มีงานที่คณะผมมานิมนต์ท่านไปร่วมงาน แค่งานที่มหาวิทยาลัยทำไมอาจารย์ต้องถ่อสังขารมาถึงที่นี่ด้วยเล่า สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ
ในช่วงที่เดินทางกลับเชียงใหม่เส้นทางคดเคี้ยวตามไหล่เขาหลายครั้งที่รถยนต์เก่าๆคันนั้นเผลอออกนอกเส้นทางเหมือนจะตกลงไปยังหุบเหวข้างล่าง ท่านอาจารย์ก็ได้แต่หัวเราะพลางบอกว่าคงแก่แล้ว ชีวิตก็เท่านี้แหละหวังอะไรมากไม่ค่อยได้ ที่เรียนจบปริญญาเอกกลายมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในปัจจุบันนี้เพราะใจสู้อย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นท่านอาจารย์ก็เริ่มเล่าความหลังให้ฟังว่า “ผมบวชที่วัดอนงคาราม เรียนจบปริญญาตรีที่เมืองไทย จากนั้นก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่อินเดียเรียกว่าไปตายดาบหน้า จนกระทั่งจบปริญญาเอกมาได้ใช้เวลาถึงสิบปี ลาสิกขาออกมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นี่แหละ ตั้งแต่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษามานักศึกษาที่ผมให้คำปรึกษาเรียนจบกับทุกคน มีท่านมหารูปเดียวที่กำลังจะไม่จบ ไม่อยากเสียประวัติ อย่าทำให้ผมเสียประวัติเลย”
จากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มเขียนวิทยานิพนธ์อย่างจริงจังภายใต้การดูแลของรองศาสตราจารย์ ดร.บุณย์ นิลเกษ ที่คอยให้คำปรึกษา ในที่สุดผมก็เรียนจบปริญญาโท กลายมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยในปัจจุบัน
ถ้าวันนั้นรองศาสตราจารย์ ดร.บุณย์ นิลเกษไม่ไปตามในวันนั้น ผมคงกลายเป็นพระป่าหรือพระธุดงค์กรรมฐานไปแล้ว อาจจะกลายเป็นเกจิอาจารย์ เจ้าสำนักหรืออาจจะลาสิกขาไปแล้วก็ได้ ทุกวันนี้ยังดีใจที่ได้เป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่พระสงฆ์รุ่นใหม่ๆ ผมอยากให้พระสงฆ์มีการศึกษา หากอยู่ในศาสนาต่อไปไม่ได้ ลาสิกขาออกไปก็จะไม่ได้เป็นภาระแก่สังคม
ปุญญมโนภิกขุจบการสนทนาในวันนั้นด้วยรอยยิ้มของผู้ที่น่าจะประสบความสำเร็จในการศึกษาแล้ว ปัจจุบันท่านเรียนจบปริญญาเอกสาขาพุทธศาสน์ศึกษาและเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากพระป่ากรรมฐานกลายมาเป็นพระนักวิชาการ เพราะได้อาจารย์ที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เล่าเรื่อง
13/01/54