ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

             อะไรคือศิลปะ ศิลปะคืออะไร คงตอบได้ไม่ง่ายนัก งานประเภทไหนที่รียกว่าศิลปะ มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่จะทำให้งานนั้นจัดเป็นงานศิลปะ ศิลปะมีประโยชน์ต่อชีวิตมากน้อยแค่ไหน มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะเลยจะได้หรือไม่ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาหลายวันแล้ว เพราะมีหัวข้อบรรยายเกี่ยวกับศิลปะ วัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา จึงต้องศึกษาค้นคว้าซื้อตำราทางด้านศิลปะมาอ่านหลายเล่ม อ่านจบแล้วก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าศิลปะคืออะไร มีขอบข่ายมากน้อยแค่ไหน

            เย็นวันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์มาจากคนที่ไม่เคยรู้จัก ชายคนนั้นบอกว่าผมกำลังจะสร้างสวนศิลปะที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในวัดแห่งหนึ่ง อยากขอคำปรึกษาและขอภาพถ่ายเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาว่าสถานที่แต่ละแห่งนั้นปัจจุบันเป็นอย่างไร มีการสร้างศิลปะใหม่ๆขึ้นมาหรือไม่  มีการดูแลรักษาอย่างไร  ศิลปะนั้นมีอายุยืนนาน แต่ชีวิตคนนั้นสั้นนัก อย่างน้อยในช่วงชีวิตหนึ่งควรสร้างงานศิลปะฝากไว้เป็นสมบัติของโลกบ้าง
            จึงตอบไปว่าในส่วนของการสร้างนั้นไม่ขอออกความเห็น หากมีสถานที่ มีทุนทรัพย์ก็สร้างได้เลย ศิลปะนั้นเอื้อเพื่อชีวิตอยู่แล้ว ผู้ใดมีศิลปะในจิตใจย่อมจะมีสุนทรียะแห่งอารมณ์ไปด้วย หากผู้ใดไม่มีศิลปะในหัวใจ ชีวิตคงแห้งแล้งเกินไป แต่ในด้านภาพถ่ายนั้นจะจัดส่งไปให้เท่าที่จะพอรวบรวมได้

            เรื่องของภาพถ่ายนั้นเนื่องจากถ่ายภาพไว้มาก หากมีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆก็มักจะมีกล้องถ่ายภาพติดมือไปด้วย เมื่อคิดอะไรไม่ออกอธิบายไม่ได้ก็จะถ่ายภาพวัตถุและคำอธิบายที่ปรากฏอยู่ตามป้ายชื่อของสถานที่นั้นๆ เก็บไว้ศึกษาในภายหลัง  ดูภาพไปเลือกภาพไปก็เกิดคำถามผุดขึ้นมาในใจว่าหรือว่าเราเองก็น่าจะพอเข้าใกล้ความเป็นศิลปินประเภทหนึ่งอยู่บ้าง เป็นศิลปินประเภทถ่ายภาพ
            ศิลปะคืออะไรนั้น คงตอบได้ไม่ง่ายนัก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตให้ความหมายของ “ศิลปะ” ไว้ว่า “ศิลป ศิลป์  ศิลปะ” (สินละปะ สิน สินละปะ) น. ฝีมือ ฝีมือทางการช่าง การทำให้วิจิตรพิสดาร เช่น เขาทำดอกไม้ประดิดประดอยอย่างมีศิลปะผู้หญิงสมัยนี้มีศิลปะในการแต่งตัว รูปสลักวีนัสเป็นรูปศิลป์  การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยสื่อต่าง ๆอย่างเสียง เส้น สี ผิว รูปทรง เป็นต้น เช่น ศิลปะการดนตรี ศิลปะการวาดภาพ ศิลปะการละคร วิจิตรศิลป์. (ส. ศิลฺป ป. สิปฺป ว่ามีฝีมืออย่างยอดเยี่ยม) (ราชบัณฑิตยสภา,พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต,กรุงเทพฯ:ราชบัณฑิตยสภา,2525)

            คำว่า “ศิลปะ” ในหนังสือศิลปะวิชาการ หัวข้อเรื่อง “อะไรคือศิลปะ”ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “ศิลป” หมายความถึงการงานอันเป็นความพรากเพียรของมนุษย์ ซึ่งต้องใช้ความพยายามด้วยมือและความคิดเห็น เช่นตัดเสื้อ สร้างเครื่องเรือน ปลูกต้นไม้ เป็นต้น อย่างนี้เป็นศิลปะมีความหมายอย่างกว้าง  ดั่งทราบกันอยู่แล้วว่าวิจิตรศิลป์นั้นแบ่งเป็นการแสดงออกแห่งศิลปะ 5 ลักษณะ กล่าวคือ วรรณคดี ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม (พระยาอนุมานราชธน แปลวันศิลป์ พีรศรี 15 กันยายน 2525 มหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่ปรากฏเลขหน้า พิมพ์เผยแพร่ในชื่อเรื่อง “อะไรคือศิลปะ” รวมพิมพ์ใน (ศาสตราจาย์ศิลป์ พีรศรี,ศิลปะวิชาการ,กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีรศรี อนุสรณ์,2546 หน้า 1)
            เปิดพจนานุกรมบาลี-ไทย ก็ได้ความหมายของคำว่า “ศิลปะ” ในภาษาบาลีใช้คำว่า “สิปฺป” คำนามนปุงสกลิงค์(ไม่ชายไม่หญิง) แปลว่า ศิลปะ ฝีมือ  หากเป็นผู้ที่ทำงานด้านศิลปะก็จะใช้คำว่า“สิปฺปิก หรือสิปฺปี” หมายถึงคนมีฝีมือ (พระอุดรคณาธิการ,จำลอง สารพัดนึก,พจนานุกรมบาลีไทย(พิมพ์ครั้งที่ 4),กรุงเทพฯ: เรืองปัญญา,2546,หน้า 447)
            ผู้ที่สร้างงานศิลปะ เรียกว่า “ศิลปิน” หรือช่างฝีมือ ศิลปินไทยส่วนใหญ่นิยมสร้างศิลปะขึ้นจากแรงบันดาลใจทางธรรมชาติ สร้างขึ้นตามคติความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากศาสนา และความเชื่อทางไสยศาสตร์เป็นประการสำคัญ (วาสนา บุญสม,ศิลปวัฒนธรรมไทยสายใยจากอดีต,กรุงเทพฯ:ปิรามิด,2548,หน้า 8)

            ศิลปะมีหลายแขนง ได้มีผู้จัดกลุ่มแห่งศิลปะออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์
            1.วิจิตรศิลป์  เป็นการถ่ายทอดงานศิลปะที่มุ่งเน้นประโยชน์ด้านความงาม ความพึงพอใจ ความสุขใจเป็นหลัก หรืออาจจะถ่ายทอดออกมาโยปราศจากการคาดหวัง อาจจะนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรืออาจจะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย วิจิตรศิลป์ในตำราทางศิลปะแบ่งออกเป็น 8 ประเภทคือ
            1.จิตรกรรม คืองานเขียนภาพลงบนวัตถุต่างๆ เป็นงานสองมิติคือมองเห็นเพียงด้านกว้างและด้านยาว
            2. ประติมากรรม คือการสร้างงานที่เป็นรูปทรงสามมิติ เช่นงานปั้นต่างๆ ที่มองเห็นทั้งด้านกว้าง ยาว และหนา
            3. สถาปัตยกรรม คือศิลปะที่สร่างสรรค์อยู่บนสิ่งก่อสร้าง อาคารรูปแบบต่างๆ ให้มีความสวยงามลงตัวอย่างมีคุณค่าตามยุคสมัย
            4. ภาพพิมพ์ ลักษณะคล้ายจิตรกรรมเพราะมีเพียงสองด้าน แต่สิ่งที่แตกต่างคือเป็นการสร้างงานบนแม่พิมพ์
            5. สื่อผสม คือศิลปะที่สามารถนำวิจิตรศิลป์หลายๆแบบมาผสมผสานกัน อาจจะกลายเป็นสองมิติหรือสามมิติก็ได้
            6.ศิลปะภาพถ่าย คือการถ่ายภาพเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ทำให้เกิดประโยชน์ทางสติปัญญาอย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่า
            7.วรรณกรรม คืองานเขียนบทประพันธ์ต่างๆ ที่มีศิลปะการใช้ภาษาอย่างไพเราะสวยงาม
            8. ดนตรีและนาฏศิลป์ ดนตรีคือการเรียบเรียง การผสมผสานเสียงสูงต่ำผ่านเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ให้เกิดความไพเราะในการรับฟัง ส่วนนาฏศิลป์คือการแสดงออกทางลีลาท่าทางที่อ่อนช้อยสวยงาม

            2. ศิลปะประยุกต์ คือการถ่ายทอดผลงานทางศิลปะที่มุ่งเน้นประโยชน์ด้านการนำไปใช้งาน เพื่อความต้องการทางร่างกายเป็นหลัก และมุ่งเน้นความสวยงามเป็นรอง โดยสรุปมี 4 ประเภทคือ
            1.พาณิชยศิลป์ คือศิลปะที่สร้างสรรค์เพื่อธุรกิจ สร้างความตื่นตื่นใจเพื่อดึงดูดโดยหวังผลด้านการค้า เช่นภาพสื่อโฆษณาแบบต่างๆ
            2.มัณฑนศิลป์ คือศิลปะที่เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งภายใน เครื่องใช้ต่างๆให้เกิดความงามสอดคล้องลงตัวกับประโยชน์ใช้สอยกับอาคารสถานที่
            3.ศิลปหัตถกรรม คือศิลปะที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยมือ เพื่อประโยชน์ในการทำงานด้วยประเพณีหรือวิถีชีวิตพื้นบ้าน จนสารมารคนำไปสู่ความเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่า เช่นการจักสาน การทอผ้าลายต่างๆ
            4. อุตสาหกรรมศิลป์ คือศิลปะที่มุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยและความงาม เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์โดยใช้เครื่องจักรในการสร่างงานออกมา (สุรพงษ์ บัวเจริญ,องค์ประกอบศิลป์สำหรับนักถ่ายภาพ,กรุงเทพฯ:เอ็มไอเอส,2554,หน้า 4)

            หากดูตามขอบข่ายเนื้อหาของศิลปะแล้ว ก็ต้องบอกว่าจะอยู่ที่ไหนจะ เดินไปทางไหนก็ต้องพบกับศิลปะจนได้ แม้แต่อาคารบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่ประจำก็เป็นศิลปะแขนงสถาปัตยกรรม หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านสักเล่มนั่นก็กำลังเสพงานศิลปะแขนงวรรณกรรม เปิดโทรทัศน์ดูข่าว ดูละครนั่นก็เป็นศิลปะประเภทนาฏศิลป์และดนตรี ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพสักภาพก็กลายเป็นการสร้างศิลปะแขนงภาพถ่าย ดังนั้นในแต่ละวันมนุษย์จึงหนีงานศิลปะไม่พ้น ต้องอยู่กับคำว่าศิลปะอยู่แทบจะตลอดทุกเวลานาทีอยู่แล้ว
            ศิลปะจึงแยกออกจากวิถีชีวิตมนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีการสร้างสรรค์ศิลปะตามที่ตนถนัด หรือบางคนอาจจะถนัดหลายทาง ทำงานศิลปะไปพร้อมๆกันหลายอย่าง งานศิลปะบางอย่างขายได้มีราคาหลายแสนหลายล้านบาท เช่นงานประเภทภาพวาดหรือจิตรกรรมของศิลปินบางคนมีราคาหลายล้านบาท บางคนจ่ายเงินก่อนเพื่อให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานออกมา
            สมัยโบราณมีศิลปะอยู่เพียงไม่กี่แขนง อาจจะมีอยู่เฉพาะในส่วนของทัศนศิลป์หรือวิจิตรศิลป์ งานที่สร้างในยุคแรกๆจึงเป็นงานประเภทสถูปเจดีย์ซึ่งเป็นงานประเภทสถาปัตยกรรม ส่วนงานด้านประติมากรรม วรรณกรรม นาฏศิลป์และดนตรีคงมีมานานแล้ว อาจจะมีงานทางด้านจิตรกรรมแทรกอยู่บ้าง ภาพเขียนบนผนังถ้ำบางภาพมีอายุกว่าห้าพันปี

            งานศิลปะในสมัยพุทธกาลคือสถูปและเจดีย์ ซึ่งเป็นงานที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของบุคคลสำคัญ ดังที่แสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/134/137) ความว่า “ดูกรอานนท์ ถูปารหบุคคล 4 จำพวก คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง สาวกของพระตถาคตเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง”
      คำว่า “ถูป” เป็นคำนามภาษาบาลีปุงลิงค์(เพศชาย) แปลว่า “สถูป อนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของบุคคลสำคัญ เจดีย์ ยอด (พระอุดรคณาธิการ,จำลอง สารพัดนึก,พจนานุกรมบาลี-ไทย(พิมพ์ครั้งที่ 4),กรุงเทพฯ: เรืองปัญญา,2546,หน้า 239)
            ส่วนคำว่า “เจดีย์” มาจากภาษาบาลีว่า “เจติย” คำนามนปุงสกลิงค์(ไม่หญิงไม่ชาย)หมายถึง เจดีย์ สิ่งที่ระลึกซึ่งควรแก่การเคารพบูชา สิ่งก่อสร้างสำหรับบรรจุสิ่งที่นับถือ หากเป็นคำนามปุงลิงค์ก็จะมีความหมายว่า ชื่อมหาชนบทหนึ่งในสิบหกของอินเดียโบราณ แคว้นเจติยะ  (พจนานุกรมบาลี-ไทย,หน้า 208)
            ถูปารหบุคคล หมายถึงผู้ควรแก่สถูป ผู้สมควรแก่การที่ประชาชนจะสร้างสถูปไว้บูชา ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยรับสั่งให้ก่อสถูปแก่ชายคนหนึ่งชื่อ “พาหิยะทารุจีริยะ” ดังข้อความที่ปรากฏในพาหิยสูตร ขุททกนิกาย อุทาน (25/50/72) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลายทำกาละแล้ว”

            พาหิยทารุจีริยะยังไม่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแต่บรรลุพระอรหันต์มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าความว่า “ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้งในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”
            เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงจนสิ้นชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมากได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลายทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกันยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้วคติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิตปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรมดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว” แม้ผู้ที่ยังไม่ได้อุปสมบทก็บรรลุอรหันต์ได้ แต่ทว่าคติของผู้บรรลุธรรมหากยังอยู่ในเพศคฤหัสถ์มักจะอยู่ได้ไม่นาน  แต่สถูปบรรจุพระธาตุของพาหิยทารุจีริยะ หากทำการขุดค้น ศึกษาคงมีโอกาสได้พบ เมื่อกาลเวลาผ่านไปคงถูกแผ่นดินถมทับอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
            ในส่วนของพระพุทธศาสนาศิลปะยุคหลังพุทธกาลที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพระพุทธศาสนาคืองานด้าน ประติมากรรม เช่นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะก็นิยมสร้างประติมากรรมรูปดอกบัวหรือรอยพระพุทธบาทไว้เป็นสัญลักษณ์
            สถานที่ตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ก็สร้างประติมากรรมรูปบัลลังก์ใต้ต้นโพธิ์
สถานที่แสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันหรือปัจจุบันคือสารนาถก็สร้างประติมากรรมรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ

            สถานที่ปรินิพพานที่กุสินารา ก็สร้างมหาปรินิพพานสถูปไว้เป็นอนุสรณ์ ภายหลังจึงมีประติมากรรมรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าสถิตอยู่ภายในสถูป

            ในหนังสือศิลปะวิชาการ หัวข้อ “คิดกันคนละอย่าง”  ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของศิลปะกับศาสนาไว้ว่า “ศิลปะมีจุดมุ่งหมายปลายทางเช่นเดียวกับศาสนา กล่าวคือมุ่งหมายเพื่อยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้ขึ้นสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อกล่าวว่า “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ก็ดูเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในยุคปัจจุบัน โบราณนั้นสร้างศิลปะเพื่อประโยชน์ของประชาน มิใช่เพื่อประโยชน์ของศิลปิน ศิลปินจำต้องให้ประโยชน์แก่สังคม มิฉะนั้นเขาก็ประสบผลล้มเหลวในความมุ่งหมายส่วนใหญ่(เขียน ยิ้มศิริ แปลจาก Extremites สูจิบัตรการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ซึ่งแสดง ณ หอศิลป กรมศิลปากร ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 15 มีนาคม 2503)
            เลือกภาพสถานที่ที่เกี่ยวกับพุทธประวัติและสถานที่ที่รังสรรค์ขึ้นใหม่ในปัจจุบันในสถานที่เคยมีประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา บางภาพก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นศิลปะสมัยใด เมื่อสร้างครั้งแรกในยุคแรกเป็นอย่างไร มีการปรับปรุงต่อเติมเสริมแต่งขึ้นใหม่หรือไม่ ใครเป็นคนทำ ทำเพื่ออะไร คงต้องศึกษาหาคำตอบต่อไป
            เรื่องของศิลปะเป็นเรื่องของมนุษย์ เพราะมนุษย์คือผู้สร้างศิลปะ แต่ละคนอาจจะเป็นผู้สร้างศิลปะโดยไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นศิลปิน เพราะศิลปะบางแขนงกำลังยึดครองคำว่า “ศิลปิน” ไว้ในสาขาที่กำลังได้รับความนิยมเช่นนาฏศิลป์ ดนตรี การละครเป็นต้น ส่วนผู้สร้างศิลปะในสาขาอื่นๆก็ไม่อาจจะไม่อยากใช้คำว่า “ศิลปิน” อย่างไรก็ตามมนุษย์ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานศิลปะอยู่บ้าง แม้ไม่ใช่ในฐานะผู้สร้างก็อยู่ในฐานะผู้เสพงานศิลปะมนุษย์จึงหนีจากงานศิลปะไม่พ้น แต่จะทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนจากผู้เสพมาเป็นผู้สร้างงานศิลปะ

            มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานเกินร้อยปี หรือหากจะเกินบ้างก็มีส่วนน้อย แต่งานศิลปะนั้นบางอย่างมีอายุยืนยาวหลายปีพัน เป็นสมบัติของโลกที่มีเรื่องราวให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ศิลปะบางอย่างทำให้เกิดสุนทรียะทางอารมณ์ ทำให้จิตใจสงบ ศิลปะบางอย่างมีเหตุการณ์มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นอยู่  ศิลปะบางอย่างมีหลักคำสอนทางศาสนาปรากฏอยู่  มีระบบการปกครอง มีหลักฐานทางโบราณคดี อาณาจักรบางแห่งล่มสลายหายสาบสูญไปนานแล้ว แต่ศิลปะยังมีปรากฏให้เห็น อาจจะกล่าวได้ว่าชีวิตคนนั้นสั้น แต่ศิลปะยืนยาว

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
09/03/58

 


อ้างอิง
            พระอุดรคณาธิการ,จำลอง สารพัดนึก.พจนานุกรมบาลีไทย(พิมพ์ครั้งที่ 4).กรุงเทพฯ: เรืองปัญญา,2546.
            ราชบัณฑิตยสภา.พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต.กรุงเทพฯ:ราชบัณฑิตยสภา,2525.
            วาสนา บุญสม.ศิลปวัฒนธรรมไทยสายใยจากอดีต.กรุงเทพฯ:ปิรามิด,2548.
            สุรพงษ์ บัวเจริญ.องค์ประกอบศิลป์สำหรับนักถ่ายภาพ.กรุงเทพฯ:เอ็มไอเอส,2554.
            ศาสตราจาย์ศิลป์ พีรศรี.ศิลปะวิชาการ.กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีรศรี อนุสรณ์,2546.

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก