วันจันทร์ไปประชุมร่วมกับคณะทำงานร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา โดยคณะกรรมาธิการด้านศาสนาศิลปวัฒนธรรมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา ประชุมกันทุกวันจันทร์ ที่อาคารรัฐสภา สาระสำคัญของพระราชบัญญัตินี้มีความประสงค์ให้พระพุทธศาสนามีธนาคารเพื่อเป็นที่ดำเนินทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างเหมาะสม โดยมุ่งเป้าหมายให้ประชาชนและสังคมมีความเจริญอย่างประเสริฐตามหลักความเจริญของอริยวัฒน์ โดยเปิดโอกาสให้คนทุกระดับชั้นเข้าถึงบริการของธนาคารได้ง่ายและเป็นธรรม
เรื่องของธนาคารแม้จะไม่เคยมีกล่าวไว้ในพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่พระพุทธศาสนาก็มีการกล่าวถึงทรัพย์สมบัติไว้มากมายหลายแห่ง คำว่า “ธนาคาร” มาจกคำสองคำคือ “ธน” เป็นคำนามในภาษาบาลีแปลว่าทรัพย์ สมบัติ และคำว่า “อาคาร” แปลว่าอาคาร บ้าน เรือน ที่อาศัย เมื่อนำสองคำมารวมกันกลายเป็น “ธนาคาร”ก็จะแปลความตามศัพท์ได้ว่าเรือนหรือที่อาศัยที่เก็บของทรัพย์สมบัติหรือที่รับฝากเงิน แต่ความหมายที่คนเข้าใจในปัจจุบันคือที่เก็บรักษาทรัพย์หรือเงิน แต่มีบางแห่งที่นำคำนี้ไปใช้เช่นธนาคารโคกระบือ ธนาคารข้าว เป็นที่เข้าใจกันได้ แต่หากแปลตามความหมายก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่น “ธนาคารโคกระบือ”อาจจะแปลตามศัพท์ได้ว่า โคกระบือที่อยู่ในเรือนเก็บทรัพย์เป็นต้น แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าที่ฝากโคกระบือ
ในพระพุทธศาสนาแม้จะไม่ได้กล่าวถึงธนาคารโดยตรง แต่ก็กล่าวถึงการหาทรัพย์สมบัติไว้หลายแห่ง ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ตอบคำถามของอาฬวกยักษ์ ในอาฬวกสูตรสังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/844/258)ครั้งนั้นอาฬวกยักษ์ได้ได้ทูลถามว่าพระพุทธเจ้าว่า “คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้ คนได้ชื่อเสียงอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ คนละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่า “บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์เพื่อบรรลุนิพพาน ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้ปัญญา เป็นผู้ไม่ประมาท มีวิจาร คนทำเหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระเป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคลใดผู้อยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา มีธรรมสี่ประการนี้คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ บุคคลนั้นแล ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก เชิญท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากเหล่าอื่นดูซิว่าในโลกนี้มีอะไรยิ่งไปกว่าสัจจะ ทมะ จาคะและขันติ”
สาระที่กล่าวถึงทรัพย์ในที่นี้คือคำว่า "คนทำเหมาะเจาะไม่ทอดธุระเป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้" มาจากภาษาบาลีว่า“ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ” คำว่าคนทำเหมาะเจาะหมายถึงคนเช่นไรนั้น ในอรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า “บุคคลใดไม่ทำเทศะและกาละเป็นต้นให้เสียหาย ทำการงานให้เหมาะสมคือให้เป็นอุบายที่จะได้ทรัพย์อันเป็นโลกิยะหรือโลกุตระ เหตุนั้นบุคคลนั้นจึงชื่อว่า "ปฏิรูปการี" แปลว่าผู้ทำการงานให้เหมาะเจาะ เหมาะสม”ตามคำอธิบายนี้น่าจะหมายถึงคนที่ไม่ปล่อยเวลาและโอกาสให้เสียไปเลือกทำการงานที่เหมาะสมกับความถนัดและความชำนาญของตนเอง ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่สอนวิชาชีพให้กับคนเพื่อที่จะได้นำไปประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับตนเอง แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้เรียนเพราะขาดเงินทุน จึงได้เลือกประกอบอาชีพตามบรรพบุรุษ บางคนกลายเป็นเศรษฐี แต่บางคนก็ล่มจม ดังนั้นหากเลือกได้ก็ควรเลือกอาชีพที่เหมาะกับตนเอง
จากนั้นก็มาถึงคำว่า “ธุรวา”หมายถึงการไม่ทอดธุระด้วยอำนาจความเพียรทางใจ อธิบายให้ง่ายอีกนิดได้แก่การทำงานด้วยความเอาใจใส่ไม่ทำอย่างทิ้งๆขว้างๆ ทำงานโดยความต่อเนื่อง ใจต้องรักงานที่ทำ การทำงานด้วยความรักจะสนุกไม่ท้อถอย บางคนเรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์แต่กลับมาประสบความสำเร็จทางศิลปะ เพราะเขาทำด้วยความรักนั่นเอง ส่วนหนึ่งของงานจะสำเร็จหรือไม่นั้นส่วนหนึ่งเริ่มต้นที่ใจรัก
คำว่า "อุฏฺฐาตา" หมายความว่าประกอบด้วยความขยันด้วยอำนาจความเพียรทางกาย มีความบากบั่นไม่ย่อหย่อนโดยนัยเป็นต้นว่า ก็ผู้ใดไม่สำคัญความเย็นและความร้อนให้ยิ่งไปกว่าหญ้า คำอธิบายในบทนี้เป็นเรื่องของกำลังทางกาย งานบางอย่างต้องทุ่มเทแรงกายอย่างหนักจึงจะสำเร็จ การทำงานที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องไม่ขึ้นอยู่กับความหนาวและความร้อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ คนเกียจคร้านมักจะมีข้ออ้างเสมอดังที่มีแสดงไว้ในสิงคาลกสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (11/184/141) ความว่า คนเกียจคร้านนั้นมักให้อ้างว่าหนาวนัก แล้วไม่ทำการงาน มักให้อ้างว่าร้อนนัก แล้วไม่ทำการงาน มักให้อ้างว่าเวลาเย็นแล้วไม่ทำการงาน มักให้อ้างว่ายังเช้าอยู่แล้วไม่ทำการงาน มักให้อ้างว่าหิวนัก แล้วไม่ทำการงาน มักให้อ้างว่ากระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผลัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความสิ้นไป” ใครที่อยู่ในข่ายนี้คือคนเกียจคร้าน โอกาสเป็นเศรษฐีมีน้อยเพราะชอบอ้างและผลัดวันประกันพรุ่งในที่สุดก็ไม่ได้ทำงาน คนขยันกับคนเกียจคร้านจึงต่างกัน
คนทำเหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระเป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ หรือจะพูดโดยสรุปว่า คนขยัน หมั่นทำงานที่เหมาะสมย่อมจะเป็นผู้หาทรัพย์ได้ คำสอนของพระพุทธศาสนาในพระสูตรนี้เป็นเรื่องของวิธีการหาทรัพย์สมบัติ ยังไม่ได้พูดถึงวิธีใช้จ่ายทรัพย์และวิธีเก็บรักษาทรัพย์ การพูดการหาทรัพย์ทำให้คนมีเงินได้
คนทุกคนมีทางเลือกของตนเอง มีอาชีพที่บางครั้งเราเลือกได้ แต่บางครั้งเลือกไม่ได้ ชีวิตก็คล้ายกันบางครั้งเราเลือกได้ บางครั้งเราก็ลือกไม่ได้ พระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนหลุดพ้นอย่างเดียว แต่ยังมีคำสอนส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงธรรมสำหรับผู้ครองเรือน ในอาฬวกสูตรอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระสูตรที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีได้ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าเราจะเลือกอาชีพที่เราชอบไม่ค่อยได้ ส่วนมากมักจะได้ทำงานที่เลือกไม่ค่อยได้ โอกาสเป็นเศรษฐีจึงมีน้อยลงไปด้วย
วันนี้ยังไม่ได้พูดถึงสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาซึ่งขณะนี้นักกฏหมายกำลังยกร่างพระราชบัญญัติฉบับสมบูรณ์ ตอนนี้ขอเพียงให้ทราบว่ามีผู้คิดก่อตั้งธนาคารพระพุทธศาสนาแล้ว ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นหนทางที่จะก้าวยังอีกยาวไกล ความคืบหน้าจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
02/11/53