พระไตรปิฎกคือคัมภีร์ที่บรรจุหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาซึ่งมีเป็นจำนวนมาก เป็นปัญหาของผู้เริ่มต้นศึกษาว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน เมื่อเริ่มต้นไม่ถูกเลยไม่ศึกษา พระไตรปิฎกนั้นเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนก็ได้ สนใจเล่มใดก็เปิดเล่มนั้นขึ้นมาศึกษา โดยอ่านเฉพาะเรื่องที่สนใจไม่จำเป็นต้องอ่านให้จบเล่ม หากทำดังนี้การศึกษาพระไตรปิฏำก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่หนักใจเพราะเราอ่านตรงไหนจากที่ใดก็ได้ พระไตรปิฏกมีสามปิฏกคือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก หากจะศึกษาเรียงตามลำดับจะเริ่มต้นที่พระวินัยปิฎก
โครงสร้างพระวินัยปิฎก
พระวินัยปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนิน
กิจการต่างๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ โครงสร้างพระวินัยที่สำคัญแบ่งออกเป็น 3 ชั้นคือ
1. โครงสร้างชั้นบาลี หมายถึงพระพุทธพจน์ที่ประมวลไว้ในพระวินัยปิฎก จัดแบ่งออกเป็น 5 คัมภีร์เรียกชื่อย่อ หรือหัวใจว่า อา ปา ม จู ป คือ
1. อา คือ อาทิกัมมิกะหรือปาราชิก ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติหนักของฝ่ายภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่ปาราชิกถึงอนิยต
2. ปา คือ ปาจิตตีย์ ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติเบา ตั้งแต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ถึงเสขิยะ รวมตลอดทั้งภิกขุนีวิภังค์ทั้งหมด
3. ม คือ มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนต้น 11 ขันธกะ หรือ 11 ตอน
4. จุ คือ จุลวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนปลาย 12 ขันธกะ
5. ป คือ ปริวาร คัมภีร์ประกอบหรือคู่มือ บรรจุคำถามคำตอบสำหรับซ้อมความรู้พระวินัย พระวินัยปิฎกนี้บางแห่งก็แบ่งอีกแบบหนึ่งเป็น 5 คัมภีร์เหมือนกัน เพียงแต่เรียกชื่อย่อต่างกันไปบ้างว่า ม ภิ ม จู ป คือ
1. ม คือ มหาวิภังค์หรือภิกขุวิภังค์ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ (ศีล 227 ข้อ) ฝ่ายภิกษุสงฆ์
2. ภิ คือ ภิกขุนีวิภังค์ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ (ศีล 311 ข้อ) ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์
3. ม คือ มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนต้น 11 ขันธกะ หรือ 11 ตอน
4. จู คือจุลวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนปลาย 12 ขันธกะ
5. ปริวาร คัมภีร์ประกอบหรือคู่มือ บรรจุคำถามคำตอบสำหรับซ้อมความรู้พระวินัย บางทีท่านจัดให้ย่นย่อเข้าอีก แบ่งพระวินัยปิฎกเป็น 3 หมวด เรียกชื่อย่อว่า สุ ข ป คือ
1. สุ คือ สุตตวิภังค์ เป็นชื่อคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทในมหาวิภังคืหรือภิกขุวิภังค์และภิกขุภีวิภังค์เข้าด้วยกัน
2.วิ คือ มหาวิภังค์ หรือภิกขุวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ เป็นชื่อคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทจากทั้ง 2 วิภังค์นี้มาไว้ด้วยกัน
3. ป คือ ปริวาร เป็นชื่อคัมภีร์ส่วนประกอบหรือภาคผนวก บางทีท่านจัดให้ย่นย่อเข้าอีก แบ่งพระวินัยปิฎกเป็น 3 หมวด วิ ข ป คือ
1. วิภังค์ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ (คือรวมข้อ 1 และ 2 ข้างต้นทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน)
2. ขันธกะว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ทั้ง 22 ขันธกะหรือ 22 บทตอน (คือรวมข้อ 3 และ 4 เข้าด้วยกัน)
3. ปริวารว่า คัมภีร์ประกอบ (คือข้อ 5 ข้างบน)
ในประเทศไทยเมื่อจัดแบ่งพระวินัยปิฎกออกเป็นเล่มตามคตินิยมของไทยแล้วท่านจัดแบ่งเป็นพระวินัยปิฎก 8 เล่มคือ
เล่ม 1 มหาวิภังค์ ภาค 1ว่าด้วยปาราชิก สังฆาทิเสส และอนิยตสิกขาบท(สิกขาบทในปาฏิโมกข์ฝ่ายภิกษุสงฆ์ 19 ข้อแรก)
เล่ม 2 มหาวิภังค์ ภาค ว่าด้วยสิกขาบทเกี่ยวกับอาบัติเบาของภิกษุ(เป็นอันครบสิกขาบท 227 หรือ ศีล 227)
เล่ม 3 ภิกขุนีวิภังค์ว่าด้วยสิกขาบท 311 ของภิกษุณี
เล่ม 4 มหาวรรค ภาค 1 มี 4 ขันธกะ ว่าด้วยการอุปสมบท (เริ่มเรื่องตั้งแต่ตรัสรู้และประดิษฐานพระศาสนา)อุโบสถ จำพรรษา และปวารณา
เล่ม 5 มหาวรรค ภาค 2มี 6 ขันธกะ ว่าด้วยเรื่องเครื่องหนังเภสัช กฐิน จีวร นิคหกรรม และการทะเลาะวิวาท และสามัคคี
เล่ม 6 จุลวรรค ภาค 1มี 4 ขันธกะ ว่าด้วยเรื่องนิคหกรรม วุฏฐานวิธีและการระงับอธิกรณ์
เล่ม 7 จุลวรรค ภาค 2 มี 8 ขันธกะ ว่าด้วยข้อบัญญัติปลีกย่อยเรื่องเสนาสนะ สังฆเภท วัตรต่างๆ การงดสวดปาฏิโมกข์ เรื่องภิกษุณี เรื่องสังคายนาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
เล่ม 8 ปริวารคู่มือถามตอบซ้อมความรู้พระวินัย
2. โครงสร้างชั้นอรรถกถา
หมายถึงคัมภีร์หรือปกรณ์ที่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายได้รจนาหรือเรียบเรียงขึ้น เพื่ออธิบายความหมายของพระวินัย จัดแบ่งออกเป็น 7 คัมภีร์คือ
1. สมันตปาสาทิกา 2. กังขาวิตรณีอัฏฐกถา 3. วินยสังคหอัฏฐกถา 4. วินยวินิจฉัย 5. ขุททสิกขา 6. มูลสิกขา
3. โครงสร้างชั้นฎีกา
หมายถึงคัมภีร์หรือปกรณ์ที่พระฎีกาจารย์ทั้งหลายได้รจนาหรือเรียบเรียงขึ้น เพื่ออธิบายเพิ่มเติมต่อจากที่พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ จัดแบ่งออกเป็น 11 คัมภีร์คือ 1. วชิรพุทธฎีกา 2. สารัตถทีปนีฎีกา 3. วิมติวิโนทนีฎีกา 4.กังขาวิตรณีปุราณฎีกา 5.วินยัตถมัญชุสา กังขาวิตรณี อภินวฎีกา 6.วินยาลังการฎีกา 7.วินยวินิจฉยฎีกา 8.อุตตรวินิจฉยฎีกา 9.ขุททสิกขาปุราณฎีกา 10.ขุททสิกขาอภินวฎีกา 11. มูลสิกขาฎีกา
อาทิพรหมจริยกาสิกขาและอภิสมาจาริกาสิกขา อาทิพรหมจริยกาสิกขา
หมายถึงหลักการศึกษาอบรมในฝ่ายบทบัญญัติหรือข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นของพรหมจรรย์ เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายทางกายและวาจา ซึ่งก็คือสิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง
อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึงหลักการศึกษาอบรมในฝ่ายขนบธรรมเนียม ที่จะทำให้ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์มีความประพฤติ ความเป็นอยู่เหมาะสมดีงาม และมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เช่น ข้อปฏิบัติในเสขิยวัตรทั้ง 75 สิกขาบท ซึ่งว่าด้วยการนุ่งห่ม การฉันอาหาร การยืน การเดิน การนั่ง เป็นต้น ความหมายของคำว่าวินัย
คำว่า “วินัย”มีความหมายตามที่พระอรรถกถาจารย์ได้ประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า วิวิธวิเสสนยตฺตา วินยนโต เจว กายวาจานํ วินยตฺถวิทูหิ อยํ วินโย วินโยติ อกฺขาโต ฯ พระวินัยอันบัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งวินัยทั้งหลาย กล่าวว่า วินัย เพราะนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะฝึกกายและวาจา เมื่อพิจารณาจากคำแปลนี้ สามารถแยกแยะความหมายของคำว่า “วินัย” ออกเป็น 3 นัย คือ
1. วินัย หมายถึง นัยต่างๆ (วิวิธ + นย) เพราะมีปาฏิโมกข์ 2 คือภิกขุปาฏิโมกข์ และภิกขุนีปาฏฺโมกข์ มีวิภังค์ 2 คือ ภิกขุวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ และมีอาบัติ 7 กองเป็นต้น
2. วินัย หมายถึงนัยพิเศษ (วิเสส + นย) เพราะมีพระอนุบัญญัติเพิ่มเติมให้สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น หรือผ่อนผันให้เหมาะสมแก่การกระทำความผิดหรือการล่วงละเมิด
3. วินัย หมายถึงกฎหรือข้อบังคับสำหรับฝึกอบรมกายและวาจา (วินยนโต เจว กายวาจานํ) เพราะเป็นเครื่องป้องกันการประพฤติไม่เหมาะสมทางกายและวาจา
คำที่เป็นไวพจน์ของคำว่า “วินัย” คำว่า “วินัย” มีคำที่เป็นไวพจน์หรือคำที่เขียนต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมากอยู่ 3 คำคือ 1. ศีล หมายถึงความประพฤติดีงามทางกายและวาจา การรักษาการวาจาให้เรียบร้อย หรือข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความเรียบร้อยดีงาม
2. พระบัญญัติ หมายถึงสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ข้อห้ามมิให้ภิกษุและภิกษุณีประพฤติล่วงละเมิด ซึ่งมีบทกำหนดโทษหรือปรับอาบัติแก่ผู้ประพฤติล่วงละเมิด ถ้าเป็นการบัญญัติสิกขาบทครั้งแรกเรียกว่ามูลบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ถ้าบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมให้กับสิกขาบทนั้นๆ เพื่อให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นหรือผ่อนผันให้เหมาะสมแก่การกระทำความผิด สิกขาบทที่ทรงบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมนี้เรียกว่าพระอนุบัญญัติ
3. สิกขาบท หมายถึงข้อความที่ต้อง ข้อศีล ข้อวินัย บัญญัติข้อหนึ่งๆ ในพระวินัยที่พระพุทธบริษัททุกหมู่เหล่าพึงศึกษาปฏิบัติเช่น ศีล 5 ศีล 8 ศีล 11 ศีล 227 และศีล 311 ซึ่งศีลแต่ละข้อดังกล่าวนี้เรียกว่าสิกขาบท ที่อุบาสก อุบาสิกา สามเณร สามเณรี ภิกษุ ภิกษุณี จะต้องศึกษาและฝึกฝนอบรมตนให้ดีงาม เพื่อจะได้ไม่ประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้
อานิสงส์การเรียนพระวินัย
บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ที่ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามพระวินัยคือศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถถกถาเหมือนกัน 5 ประการคือ
1. อตฺตโน สีลกฺขนฺโธ สุคุตฺโต สุรกฺโข กองศีลของตนเป็นอันรักษาไว้ดีแล้ว
2. กุกฺกุจฺจปกตานํ ปฏิสรณํ โหติ เป็นที่พึ่งแก่เหล่ากุลบุตรที่ถูกความสงสัยครอบงำได้
3. วิสารโท สํฆมชฺเฌ โวหรติ กล้าแสดงความคิดเห็นในท่ามกลางสงฆ์
4. ปจฺจตฺถิเก สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหาติ ข่มขี่ฝ่ายตรงข้ามคือข้าศึกได้ด้วยดีโดยสหธรรม
5. สทฺธมฺมฏฺฐิติยา ปฏิปนฺโน โหติ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
นอกจากนี้การศึกษาเล่าเรียนและการปฏิบัติตามพระวินัยคือศีลอย่างเคร่งครัดยังมีอานิสงส์อีก 3 ประการคือ
1. สีเลน สุคตึ ยนฺติ บุคคลย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ก็เพราะศีล
2. สีเลน โภคสมฺปทา บุคคลย่อมพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์ได้ก็เพราะศีล
3. สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ บุคคลย่อมบรรลุพระนิพพานได้ก็เพราะศีล
ที่แสดงมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโครงสร้างของพระวินัยปิฎก อ่านแล้วอาจจะทำให้หนักสมองไปบ้าง แต่เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องมีราบละเอียด แม้จะยากไปบ้าง หากศึกษาจนเข้าใจแล้วจะเป็นเบื้องต้นในการค้นคว้าต่อไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
รวบรวม/เรียบเรียง
แก้ไขปรับปรุง 30/06/53