ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

            มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ไม่อาจจะดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวได้ จากสังคมเล็กๆกลายเป็นสังคมขนาดใหญ่และกลายเป็นสังคมโลกในที่สุด สิ่งที่จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้มีปัจจัยหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมสงบสุขได้นั่นคือเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดี คนในสังคมก็จะอยู่ร่วมอย่างมีความสุข ความเป็นปัจเจกบุคคลและความเป็นสังคมถูกเชื่อมโยงด้วยความเป็นอยู่ พระพุทธศาสนามีคำสอนที่ไม่มองข้ามเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องของตนเอง ทั้งปัจเจกและสังคมจะต้องอิงอาศัยกันและกัน ในเรื่องนี้อาจารย์สุชีพ  ปุญญานุภาพได้เขียนไว้ในหนังสือคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา ขอเชิญศึกษาได้ตามสมควร  

 

บทที่ 7
ไม่มองข้ามเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องตนเอง
โดย....อาจารย์สุชีพ  ปุญญานุภาพ

              “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้แก่ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยดี และสอนให้แก้ที่ตัวเองก่อนโดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้ว เราจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย แม้ในการสอนให้มีเมตตาจิต ก็ให้หัดแผ่เมตตาในตนเองก่อน เพื่อจะได้เป็นพยานว่า เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น”
เพื่อที่จะให้ท่านผู้อ่านแยกพิจารณาหัวข้อเรื่องนี้เป็นประเด็น ๆ ไป จะขอแยกเนื้อความในบทนี้เป็น 3 ประเด็น คือ :-
              1. เรื่องคำสอนที่ไม่มองข้ามปัญหาเศรษฐกิจ
              2. เรื่องแก้ความชั่วด้วยความดี
              3. เรื่องไม่มองข้ามตนเอง ในการแก้ปัญหาศีลธรรม
              ท่านผู้อ่านอาจรู้สึกว่าในบทนี้ทำไมจึงต้องมีประเด็นหลายประเด็นนักน่าจะบทละประเด็นก็จะสะดวกแก่การจำและพิจารณา ขอเรียนว่าบทนี้ทั้งหมดอาจกำจัดความให้เหลือประเด็นเดียวก็ได้ คือ พระพุทธศาสนามีคุณลักษณะพิเศษในการเสนอหลักส่งเสริมศีลธรรมไว้อย่างดียิ่ง ถ้าพิจารณาเพียงประเด็นเดียวนี้ ข้อที่แยกไว้ข้างต้นก็ถือได้ว่าเป็นประเด็นปลีกย่อยในประเด็นใหญ่ อันที่จริงผู้เขียนไม่ประสงค์จะแสดงคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนาให้มากมายหลายสิบข้อ จนยากแก่การกำหนดจดจำ อันไหนพอจะรวมเข้าประเภทเดียวกันได้ภายใต้หัวข้อใหญ่ ก็พยายามรวมไว้เป็นข้อเดียวกัน ในหนังสือเล่มนี้ที่ตั้งไว้ 12 หัวข้อก็คิดว่าย่นย่อเหลือเกิน แต่แม้เช่นนั้น ถ้าท่านผู้อ่านจะจำได้เยงไม่กี่ข้อก็เป็นที่พอใจแล้ว ข้อสำคัญเมื่อนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว อย่าให้ถึงกับอธิบายอะไรในเรื่องคุณความดีแห่งศาสนานี้ไม่ได้เอาเสียเลย

1. เรื่องคำสอนที่ไม่มองข้ามปัญหาเศรษฐกิจ
              ปัญหาที่สำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์ข้อหนึ่ง ในข้อที่สำคัญทั้งหลายก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจที่ว่า ทำอย่างไรจะมีที่อยู่ มีอาหารรับประทาน หรือมีของกลาง คือ เงินไว้จับจ่ายใช้สอยบำบัดความต้องการต่าง ๆ
              ถ้าท่านอ่านตำราเศรษฐกิจของฝรั่งหลาย ๆ เล่มจะรู้สึกว่าต่างยืนยันตรงกันข้อหนึ่ง ก็คือ จุดประสงค์ของเศรษฐกิจนั้น ได้แก่ การพยายามบำบัดหรือสนองความต้องการของมนุษย์ (To try to satisfy human wants)
              พระพุทธศาสนาได้เสนอหลักทางศีลธรรมที่เนื่องด้วยหลักเศรษฐกิจนี้เป็น 2 ทาง คือ ชั้นต่ำ หลักสนอง กับชั้นสูง หลักบำบัด หลักสนอง หมายถึงการสอนให้ตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ในทางเศรษฐกิจ พยายามยกฐานะของตนให้สูงขึ้นด้วยความขยันหมั่นเพียร และวิธีการอื่น ๆ ส่วนหลักบำบัดนั้นหมายถึงการสอนให้รู้จักบรรเทาความต้องการชนิดรุนแรงที่กลายเป็นความทะยานอยาก อันก่อความทุกข์ให้ คือ ถ้าจะมัวแต่หาทางสนองความอยากอยู่อย่างเดียว อย่างไรก็ไม่รู้จักพอท่านจึงเปรียบความอยากเสมอด้วยไฟ ไม่รู้จักอิ่มด้วยเชื้อ หรือแม่น้ำไม่รู้จักเต็ม แม้เราจะเทน้ำลงไปสักเท่าไรก็ตาม เพราะฉะนั้น จึงต้องมีหลักบำบัด หรือบรรเทาความทะยานอยากให้น้อยลงโดยลำดับ อันเป็นทางแก้ทุกข์ได้

คำสอนหลักเศรษฐกิจขั้นต่ำ
              หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่เห็นได้ว่าเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจส่วนบุคคลและครอบครัว โดยทั่วไป คือ:-
              1. ทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน) อันว่าด้วยการสอนให้ตั้งตัวได้ทางเศรษฐกิจ 4 ประการ คือ
                            (1) ความขยันหมั่นเพียรแสวงหาทรัพย์
                            (2) การรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ หรือรู้จักเก็บออม
                            (3) การคบเพื่อนที่ดีงาม
                            (4) การใช้จ่ายพอเหมาะสมแก่ฐานของตน
                                          (พระไตรปิฏก เล่ม 23 หน้า 294)
             2. การเว้นอบายมุข (เหตุให้เสื่อมทรัพย์) 4 ประการ คือ :-
                            (1) ความเป็นนักเลงหญิง
                            (2) ความเป็นนักเลงสุรา
                            (3) ความเป็นนักเลงเล่นการพนัน
                            (4) ความคบคนชั่วเป็นมิตร
                                          (พระไตรปิฏก เล่ม 23 หน้า 296)
              ข้อสังเกตสำหรับอบายสุขที่ควรเว้นทั้ง 4 ข้อนี้ ในที่ไหนมีคำว่านักเลง หมายถึงประกอบกรรมนั้นบ่อย ๆ เป็นอาจิณ จนกลายเป็นนักเลงในทางนั้น ๆ
              3. สุขของผู้ครองเรือน 4 อย่าง คือ :-
                            (1) สุขเกิดจากการมีทรัพย์ (จะมีได้ก็ต้องทำมาหากิน)
                            (2) สุขเกิดจากการได้จ่ายทรัพย์ใช้สอย
                            (3) สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
                            (4) สุขเกิดจากการประกอบการงานที่ไม่มีโทษ
                                          (พระไตรปิฏก เล่ม 21 หน้า 90)
              ในข้อนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญในทางเศรษฐกิจว่า ทำให้เกิดความสุข แต่ก็ต้องเป็นเศรษฐกิจในทางที่ไม่มีโทษ
              4. สกุลอันมั่งคั่งจะตั้งอยู่ไม่ได้นาน เพราะเหตุ 4 ประการ คือ :-
                            (1) ของหายไม่หา
                            (2) ของชำรุด ไม่ซ่อมแซม
                            (3) ไม่รู้จักประมาณในการใช้จ่าย
                            (4) มอบความเป็นใหญ่ในครอบครัวให้แก่หญิง หรือชายผู้ทุศีล  คือ  ผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม
              หลักนี้แสดงว่าตระกูลอันมั่งคั่งสักเพียงไรก็ตาม ถ้าขาดการรู้หลักเศรษฐกิจและศีลธรรมอันพึงปฏิบัติให้ถูกต้องแล้ว ก็จะถึงความพินาศไปในที่สุด
              ในที่นี้ผู้เขียนได้เทียบให้ดูว่า หลักเรื่องประโยชน์ปัจจุบันของพระพุทธศาสนา ข้อแรกคือความขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพให้เกิดทรัพย์นั้น ตรงกับหลักเศรษฐกิจข้อแรก คือ Production (ผลิตกรรม) อย่างนัดกันไว้ ทั้ง ๆ ที่วิชาเศรษฐกิจเกิดภายหลังพระพุทธศาสนานับจำนวนพันปี
              ส่วนข้อ 2 คือ การรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ ก็ตรงกับหลักการออมทรัพย์ (Saving) ข้อ 3 คือการรู้จักคบเพื่อนที่ดีงาม ก็เทียบกันได้กับการดำเนินงานในรูปบริษัท หรือสหกรณ์ ซึ่งจำเป็นต้องเลือกสมาชิกที่ดี แต่โดยปกติแม้ไม่ดำเนินงานในรูปบริษัทหรือสหกรณ์เพียงการครองชีวิตเฉพาะตัว มิตรสหายก็เป็นส่วนสำคัญอยู่มิใช้น้อย ส่วนข้อสุดท้าย คือการใช้จ่ายพอเหมาะสมแก่ฐานะของตนนั้น ในภาษาทางเศรษฐกิจใช้คำว่า Household Budget ซึ่งแปลว่างบประมาณประจำบ้านบ้าง ในส่วนกว้างขวางถึงประเทศชาติ เรียกว่า The Nation’s Economic Budget (งบประมาณเศรษฐกิจแห่งชาติ) บ้าง รวมความแล้วก็เพื่อควบคุมรายจ่ายกับรายรับ ให้สมดุลกัน อันตรงกับศัพท์ทางพระพุทธศาสนาว่าสมชีวิตาในทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน) นั่นเอง
              ส่วนหลักคำสอนข้ออื่น ๆ เช่นให้เว้นทางแห่งความเสื่อมทรัพย์ (อบายมุข) ต่าง ๆ การรู้ว่าความสุขของผู้ครองเรือนมีอะไรบ้าง การจะทำให้สกุลวงศ์ตั้งอยู่ได้นานยั่งยืนจะต้องทำอย่างไรบ้าง อันเป็นเรื่องของการเศรษฐกิจควบคู่กับศีลธรรมนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาได้มองเห็นแล้วว่าศีลธรรมจะดีได้โดยยาก ถ้าเศรษฐกิจส่วนบุคคลไม่ดี ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเน้นหนักให้ตั้งตัวให้ได้ในทางเศรษฐกิจ
              นอกจากนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะนำกูฏทันตพราหมณ์ผู้ไปทูลถามปัญหาเรื่องการบูชายัญ พระองค์กลับเตือนพราหมณ์ผู้นั้น ซึ่งเป็นผู้ปกครองหมู่บ้านพราหมณ์อันใหญ่เท่ากับเมืองๆ หนึ่ง ให้จัดปัญหาทางเศรษฐกิจของบ้านเมืองให้ดีก่อน วิธีปราบโจรผู้ร้ายไม่ใช่ปราบด้วยการฆ่า เพราะจะมีตัวตายตัวแทนอยู่เสมอ แต่ถ้าจัดการเศรษฐกิจให้ดี ให้ทุกคนมีงานทำตามความเหมาะสมแก่ความรู้ความสามารถของตน มีการช่วยเหลือชาวนา พ่อค้าและข้าราชการให้เจริญในหน้าที่และอาชีพของตน บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข (ดูพระไตรปิฏก เม 9 หน้า 162 และดูข้อความที่ถอดออกเป็นภาษาไทยแล้วเฉพาะเรื่องนี้ในหนังสือของผู้เขียนชื่อ ชุมนุมบันทึกเบ็ดเตล็ดของ ส.ช. หน้า 134)

              จากหลักฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เกี่ยวกับเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับศีลธรรมนี้ ย่อมเป็นเครื่องตอบปัญหาได้ดีต่อคำใส่ความของคนบางคนที่ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนเกียจคร้าน เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ขยันไว้เป็นข้อแรก ในเรื่องประโยชน์ปัจจุบันอยู่แล้ว
              ยิ่งกว่านั้นในบางกรณีพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงคุณธรรมในการประกอบ อาชีพบางอาชีพ เช่น การค้าขายว่าถ้าใครประกอบด้วยคุณสมบัติ 3 ประการแล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างดี คือ :-
              1. เป็นผู้มีตาดี หมายถึง รอบรู้ในการค้าขายสิ้นค้า รู้ทุนรู้กำไร
              2. เป็นผู้มีความเพียร หมายถึง เพียรพิจารณากาลเทศะ รู้ทะเลซื้อทำเลขาย ว่าซื้อที่ไหนจะได้ถูก ขายที่ไหนจะได้ราคา แล้วไม่ทอดธุระ
              3. รู้จักชอบพอกับคนมาก หมายถึง มีมิตรมีสหายมาก รู้จักทำตนให้เป็นที่นิยม ไว้เนื้อเชื่อใจของคนทั้งหลาย
หลักฐานเรื่องนี้ดูพระไตรปิฎก เล่ม 20 หน้า 146 ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงรู้สึกบ้างไม่มาก็น้อย ในความรอบคอบละเอียดลออแห่งคำสอนทางพระพุทธศาสนา ที่ยกมากล่าวไว้หลายเรื่องด้วยกันในที่นี้

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก