พระพุทธเจ้าประทานความเป็นใหญ่แก่สงฆ์
ในชั้นเดิมเมื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ ๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานการอุปสมบทหรือรับคนเข้าหมู่เองต่อมาได้ขยายให้พระสาวกแต่ละองค์ผู้ไปเผยแพร่ศาสนาในทิศทางนั้น ๆ เป็นผู้อนุมัติการอุปสมบทได้ โดยมีพิธีกรรมเพียงให้ผู้ขออุปสมบทเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะก็ใช้ได้ ภายหลังวิธีการนี้ได้ยกเลิกไป และนำไปใช้เฉพาะในการบรรพชาสามเณร (การบวชมีศัพท์เรียกสองอย่าง บวชเป็นพระเรียกอุปสมบท บวชเป็นสามเณรเรียกว่าบรรพชา) ต่อมาเมื่อมีผู้เข้าบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้น จนมีปัญหาเรื่องการปกครองเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าทรงเลิกการประทานอุปสมบทด้วยพระองค์เอง รวมทั้งเลิกการให้อำนาจแก่พระสาวกซึ่งเป็นเอกชน ทรงบัญญัติให้การอุปสมบทแก่ราธพราหมณ์เป็นคนแรก (วินัยปิฎก เล่ม 4 หน้า 103) เมื่อประมวลความเป็นมาในเรื่องการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าประทานไว้จึงเป็น 3 ขั้น คือ
1.ขั้นแรกทรงอนุมัติให้อุปสมทบด้วยพระองค์เอง เรียก “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” แปลว่า การบวชที่สำเร็จด้วยการที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจงเป็นภิกษุมาเถิด
2.ขั้นต่อมา ทรงอนุญาตให้พระสาวกเป็นผู้อนุมัติการอุปสมบทโดยให้ผู้ขออุปสมบท (ในวินัยปิฎกเล่ม 4 หน้า 104 พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ผู้ขอบวชเท่านั้นบวชได้ คนที่ไม่ได้ขอบวชไปบวชให้ทรงปรับอาบัติทุกกฎแก่ผู้ให้บวช) เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ที่เรียกว่า “ติสรณคมนูสัมปทา” แปลว่า การบวชด้วยการถึงสรณะสาม
3.ขั้นสุดท้ายที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้คือทรงอนุญาตให้สงฆ์เท่านั้นเป็นผู้อนุมัติการอุปสมบท ที่เรียกว่า “ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา” แปลว่า การบวชที่ต้องสวดประกาศอันมีการสวดเสนอญัตติด้วยรวมเป็น 4 ครั้ง คือ สวดเสนอญัตติเล่าเรื่องมีผู้ขอบวช 1 ครั้ง แล้วสวดประกาศขอความเห็นชอบโดยเปิดโอกาสให้ทักท้วงได้ 3 ครั้ง รวมเป็น 4 ครั้ง
กำหนดจำนวนสงฆ์ 5 ประเภท
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อทรงมอบให้สงฆ์เป็นใหญ่แล้วก็ได้ทรงกำหนดจำนวนไว้ด้วยว่า กิจกรรมแต่ละอย่างย่อมต้องการจำนวนภิกษุมากน้อยกว่ากัน ดังต่อไปนี้
1.ภิกษุสงฆ์ 4 รูป เรียก จตุวรรค ทำสังฆกรรมได้ทุกชนิด เว้นแต่การบวชพระ การปวารณาซึ่งเป็นพิธีกรรมวันออกพรรษาที่อนุญาตให้ว่ากล่าวตักเตือนกันและกันได้ และการสวดอัพภาน คือ การสวดถอนอาบัติหนักบางข้อ ที่กำหนดให้ใช้พระภิกษุจำนวนมากกว่านั้น
2.ภิกษุสงฆ์ 5 รูป เรียก ปัญจวรรค ทำปวารณาได้ทำการบวชพระในชนบทชายแดนได้ ทำสังฆกรรมอย่างอื่นได้ เว้นแต่สังฆกรรม 2 อย่าง คือ การสวดอัพภาน และการบวชพระในมัชฌิมชนบทคือชนบทภาคกลางที่มีความเจริญ (ปัจจันตชนบท ชนบทชายแดน มัชฌิมชนบท ชนบทภาคกลางมีกำหนดเขตไว้ครั้งพุทธกาล ในปัจจุบันอนุโลมตามความเจริญและไม่เจริญของท้องที่ถ้าที่เจริญก็ใช้พระ 10 รูปขึ้นไป)
3.ภิกษุสงฆ์ 10 รูป เรียกว่า ทสวรรค ทำการบวชกุลบุตรในมัชฌิมชนบท คือ ชนบทภาคกลางของอินเดีย และทำสังฆกรรมอื่น ๆ ได้เว้นการสวดอัพภานถอนอาบัติอย่างเดียว
4.ภิกษุสงฆ์ 20 รูป เรียกว่า วีสติวรรค โดยเจาะจงเพื่อใช้ในการประชุม ซึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้สวดถอนอาบัติของภิกษุบางรูป
5.ภิกษุสงฆ์เกินกว่า 20 รูป เรียก อติเรกวีสติวรรค ใช้ทำสังฆกรรมได้ทุกชนิด(วินัยปิฎก เล่ม 5 หน้า 258)
เงื่อนไขของการกำหนดจำนวนดังกล่าวนี้มีอยู่ว่า กิจกรรมชนิดไหนกำหนดจำนวนอย่างต่ำของสงฆ์ไว้กี่รูป สงฆ์เกินจำนวนนั้นใช้ได้ ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งโดยใช้ถึงประเภทของสังฆกรรมแต่ละชนิดว่า อย่างไหนใช้พระภิกษุสงฆ์เท่าไร ก็อาจกล่าวได้ดังนี้ :-
1.การทำอุโบสถ คือ สวดปาฏิโมกข์ หรือสวดทบทวนศีลของภิกษุ 227 ข้อ ทุกกึ่งเดือน ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทำได้
2.การสวดกฐิน คือ สวดประกาศมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง โดยขอความเห็นชอบของพระสงฆ์ทั้งปวง ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทำได้ ในข้อนี้หนังสือซึ่งแต่งขึ้นชั้นหลังพระไตรปิฏก เช่น อรรถกถา กล่าวว่า ต้อง 5 รูปขึ้นไปจึงทำได้ ข้าพเจ้าได้ตรวจดูแล้วไม่มีข้อกำหนดไว้โดยเฉพาะในวินัยปิฏก แม้ที่ว่าด้วยเรื่องกฐินโดยตรง ฉะนั้น จึงถือตามที่กล่าวไว้ในวินัยปิฏก เล่ม 5 หน้า 258 ที่ว่าสงฆ์ 4 รูปทำกรรมได้ทุกชนิด เว้นเพียง 3 อย่าง คือ ปวารณา อุปสมบท และอัพภาน (ผู้ต้องการสอบหลักฐานเรื่องนี้ควรดูวินัยปิฏก เล่ม 5 หน้า 135 เป็นต้นไป และเล่ม 8 หน้า 426 เป็นต้นไปด้วย)
3.การสวดสมมติต่าง ๆ เช่น สมมติ หรือแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ เป็นผู้แจกจีวร แจกเสนาสนะ คือ ที่อยู่อาศัย ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทำได้
4.การปวารณา คือ การบอกอนุญาตให้ว่ากล่าวตักเตือนกัน ถ้าจะทำเป็นการสงฆ์ ภิกษุตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไปจึงทำได้ ทั้งนี้มีเหตุผลว่า เมื่อถือว่าภิกษุ 4 รูปขึ้นไปเป็นสงฆ์ ถ้ามีภิกษุเพียง 4 รูป รูปหนึ่งกล่าวปวารณาจึงเท่ากับอนุญาตแก่บุคคล 3 คน ให้ว่ากล่าวได้ พระพุทธเจ้าให้ถือเป็นการปวารณาต่อบุคคล จะนับว่าเป็นการสงฆ์ได้ก็ต่อเมื่อสงฆ์ผู้รับฟังคำปวารณามีครบ 4 รูป เป็น 5 รวมทั้งผู้ปวารณาหรือจำนวนมากกว่านั้น
5.การอุปสมบท หรือบวชพระ ถ้าในปัจจันตชนบท คือ ชายแดน หรือเขตที่ไม่มีความเจริญหาพระยาก ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไปทำได้ ถ้าในมัชฌิมชนบทหรือในเขตภาคกลางซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้ามีกำหนดเขตไว้ อันพอจะหาพระได้ ให้ใช้พระตั้งแต่ 10 รูปขึ้นไป ในเมืองไทยเราซึ่งนับเป็นเขตนอกจากที่กำหนดไว้ในครั้งพุทธกาล ถ้าจะกล่าวตามตัวอักษรพระ 5 รูปขึ้นไปก็ใช้ในการบวชกุลบุตรได้ แต่พระเถระผู้ใหญ่ท่านพิจารณาตามเจตนารมณ์ของพระวินัย ถ้าบวชในเขตจังหวัดพระนครหรือในเมืองที่เจริญ ก็ใช้พระตั้งแต่ 10 รูปขึ้นไป ในเขตกันดารจึงใช้พระน้อยกว่านั้น คือ 5 รูปขึ้นไป
6.การสวดอัพภาน คือ สวดเพิกถอนอาบัติ ของภิกษุบางรูป ซึ่งต้องทำเป็นการสงฆ์ ใช้ภิกษุตั้งแต่ 20 รูปขึ้นไป
7.สังฆกรรมอื่น ๆ ที่ทำเป็นการสงฆ์ นอกจากที่กล่าวไว้แล้วใช้พระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทั้งสิ้น
ข้อกำหนดเรื่องสถานที่ประชุม
การทำสังฆกรรม คือ การสงฆ์ทุกอย่างต้องมีข้อกำหนดเรื่องสถานที่ประชุม เขตแดนที่ใช้กำหนดที่ประชุม เรียกว่า สีมาสีมาหรือเขตแดนสำหรับกำหนดสถานที่ประชุมนี้ไม่ให้เล็กเกินไปจนไม่อาจให้ภิกษุ 21 รูปนั่งได้ และไม่ให้ใหญ่เกินไปเกิน 3 โยชน์ เล็กเกินไปก็ไม่อาจทำสังฆกรรม ที่ต้องใช้ภิกษุสงฆ์ 20 รูป พร้อมด้วยภิกษุผู้ขอให้สงฆ์จำนวนนั้นประชุมถอนอาบัติให้รวมเป็น 21 รูปได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องกำหนดส่วนไม่ให้เล็กกว่านั้น ส่วนที่ใหญ่เกินไปกว่า 3 โยชน์ ก็ยากแก่การที่จะมาประชุมพร้อมกันในที่นัดหมาย และยากที่จะตรวจตราว่าใครมาบ้างไม่มาบ้าง
วัตถุอันใช้กำหนดเขตสีมา มีภูเขา ศิลา ป่าไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ และแอ่งน้ำ
การที่ต้องมีกำหนดหมายว่าที่ประชุมต้องมีเขตแค่นั้นแค่นี้ก็เพื่อให้ภิกษุทุกรูปผู้อยู่ในเขตนั้นรู้หน้าที่ของตนว่า เมื่อมีการประชุมเกิดขึ้นทุกรูปจะต้องเข้าประชุมทั้งหมด ถ้าไม่เข้าประชุม กรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้ และถ้าเป็นกรรมที่มีข้อบังคับให้ทุกรูปต้องเข้าประชุมด้วย ผู้ไม่เข้าประชุมต้องเป็นอาบัติ
ในกรณีที่ภิกษุผู้อยู่ในเขตสีมา หรือเขตที่ประชุมอาพาธไม่สามารถเข้าประชุมได้ จะต้องมอบฉันทะไปประกาศแก่สงฆ์ผู้ประชุมว่า ผู้นั้นผู้นี้มาไม่ได้เพราะอาพาธ ขอมอบฉันทะ คืออนุมัติให้สงฆ์ทำการประชุมได้ด้วยความยินยอมรับรู้เห็นด้วยของตน และที่ประชุมนั้นเป็นการประชุมฟังปาฏิโมกข์ คือศีล 227 ข้อของพระภิกษุ ถ้าภิกษุรูปใดอาพาธจะต้องบอกบริสุทธิ์ คือมอบให้ภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งไปประกาศแก่สงฆ์ว่าภิกษุรูปที่อาพาธนั้นยังเป็นภิกษุผู้บริสุทธิ์อยู่ การบอกความบริสุทธิ์ของตนนั้น ถ้าไปบอกเองได้ก็ไปเองเมื่อจวนเลิกประชุม ถ้าไปไม่ได้จึงมอบให้ภิกษุรูปอื่นบอกแทน