การเดินทางไปสิงคโปร์เที่ยวนี้กว่าจะถึงสถานที่พักก็มืดค่ำแล้ว เจ้าภาพจึงพาไปพักที่วัดป่าเลไลย์ บีโดก วอล์ค ซึ่งเป็นวัดที่ระบุในใบผ่านทางว่าเป็นสถานที่พำนักในสิงคโปร์ แม้จะอยากไปเที่ยวดูสถานที่สำคัญต่างๆของสิงคโปร์ แต่เวลาไม่เอื้ออำนวย จึงไม่มีโอกาสได้ไปตามที่ใจคิด เพราะกำหนดการสำคัญอยู่ที่วัดป่าสันติ รัฐยะโฮร์ มาเลเซีย สิ่งที่ทำได้ในช่วงเวลานั้นคือหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ใกล้ตัวที่สุดคือพระสงฆ์ที่จำพรรษาที่วัดป่าแห่งนี้
ถามพระสงฆ์รูปหนึ่งที่อยู่ประจำที่วัดแห่งนี้มาสามปีแล้วว่า หากเดินทางมาสิงคโปร์แล้วสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นสิงคโปร์ที่ควรจะต้องไปเยี่ยมชมคืออะไร”
พระสงฆ์ไทยรูปนั้นบอกว่า “มีหลายที่เช่นเซนโตซ่า ตลาดมุสตาฟาหรือลิตเติลอินเดีย แหล่งสินค้าราคาถูก หรือไซน่าทาว ซิมลิ้มแหล่งขายอุปกรณ์เทคโนโลยี กาตองหมู่บ้านของชาวมาเลย์ ถนนนคนเดินที่ออร์ชาด สวนนกจูร่ง สวนสัตว์สิงคโปร์ สวนสัตว์กลางคืน วัดพระเขี้ยวแก้ว วัดเซียนฮกเกี๋ยน วัดศรีกฤษณะ วัดเจ้าแม่กวนอิม วัดอานันทเมตตยาราม และวัดป่าเลไลย์ เป็นต้น”
ได้ฟังคำตอบแล้ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามวันถึงจะไปเที่ยวชมได้ทั่วถึง มีเวลาอยู่สิงคโปร์จริงๆแค่หนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน คงยากที่จะไปดูได้หมด
เช้าวันนั้นทางคณะซึ่งมีเพียงพระสงฆ์สี่รูป มีกำหนดการออกเดินทางไปมาเลเซียเวลาประมาณเที่ยงวัน จึงพอมีเวลาสั้นๆช่วงเช้า แต่คงเดินทางไปไหนไม่สะดวก จึงแวะเข้าไปที่พระอุโบสถกราบสักการะหลวงพ่อพระพุทธชินราชจำลอง ขณะนั้นฝนเริ่มตกลงมา แต่ก็ยังมีประชาชนหลายคนพากันมากราบไหว้พระประธานไม่ขาดสาย หลวงพ่อเจ้าอาวาสกำลังทำหน้าที่ในวิหารบุรพาจารย์ จึงแวะเข้าไปทำความเคารพตามธรรมเนียมของอาคันตุกะผู้มาเยือน
หลวงพ่อเจ้าอาวาสบอกว่า “ผมมาอยู่สิงคโปร์นานกว่ายี่สิบปีแล้วครับ เป็นคนบ้านเดียวกับอดีตเจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อในภาพนั่นแหละครับท่านชี้มือไปทางรูปเหมือน “พระครูประกาศธรรมคุณ ผู้ก่อตั้งวัดป่าเลไลย์”
เจ้าอาวาสบอกว่า วัดนี้สร้างมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2506 แต่ก่อนอยู่ที่ถนนโปฮวด และได้ย้ายมาที่เบอโดก วอล์ค โดยนายวี เตียม ซิว ขายที่ดินให้ในราคาครึ่งหนึ่ง วัดป่าเลไลย์เป็นองค์กรทางศาสนาเพื่อจัดกิจกรรมทางศาสนา บำเพ็ญกุศลตามจารีตประเพณีโดยถือตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และยังเปิดโอกาสให้ชาวพุทธในสิงคโปร์ได้ศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา ฝึกอบรมกรรมฐาน โดยได้นิมนต์พระเถระจากประเทศไทยมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานมาโดยตลอด พระครูประกาศธรรมคุณ อดีตเจ้าอาวาสมรณภาพเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2534 จากนั้นเป็นต้นมาก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ทั้งหลายดำเนินตามปฏิปทาที่หลวงพ่อวางไว้”
ประเทศสิงคโปร์มีประชากรประมาณ 5 ล้าน 5 แสนคน มีวัดไทย 5 วัด และมีสำนักสงฆ์ที่พักสงฆ์รวมกันแล้ว 25 แห่ง ผู้เขียนมีเวลาอยู่สิงคโปร์เพียงช่วงเวลาสั้นๆจึงไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมวัดเหล่านั้น ได้รู้จักเพียงวัดเดียวคือวัดป่าเลไลย์ เบอโดก วอล์ค เท่านั้น ได้พักสองคืนเป็นคืนแรกและคืนสุดท้ายในสิงคโปร์
เจ้าอาวาสเล่าให้ฟังว่า “ที่นี่มีคนเข้าวัดวันละหลายร้อยคน เข้ามาไหว้พระ ขอพร พระสงฆ์ทำหน้า สนทนาธรรม แจกด้ายผูกแขน ที่สำคัญขาดไม่ได้คือรดน้ำมนต์ พระสงฆ์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามวาระ ต้องนั่งอยู่ในพระอุโบสถทั้งวันตั้งแต่เช้าจนเย็น วัดปิดประมาณสี่ทุ่ม” ผู้เขียนนั่งดูเล่นๆเช้าวันนั้นมีผู้คนเข้าวัดประมาณยี่สิบคน หากเป็นผู้ชายก็จะนำพระเครื่องมาให้หลวงพ่อเสกคาถาเพิ่มความขลัง หากเป็นสตรีก็จะขอด้ายผูกแขนเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ละคนที่เดินเข้ามาฟังภาษาพูดแล้วงงเอง ฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไรกัน ทั้งอังกฤษ จีน มาเลย์ เป็นต้น
หลวงพ่อเจ้าอาวาสบอกว่า “อยู่ที่นี่อย่างน้อยต้องพูดได้สามภาษา เพราะสิงคโปร์มีคนหลายเผ่าพันธุ์เช่นจีน อินเดีย มาเลเซีย จีนอย่างเดียวก็พูดหลายสำเนียง แต่ภาษาหลักที่แทบทุกคนพูดได้คือภาษาอังกฤษ”
ปัจจุบันวัดป่าเลไลย์มีศาสนสถานสำคัญสามแห่งคือพระอุโบสถ เจดีย์ธรรมสถิต และอาคารที่พักสงฆ์ พุทธศาสนิกชนทั้งสิงคโปร์และคนไทยต่างก็เดินทางมาสักการบูชาพระพุทธชินราชจำลอง พระประธานในพระอุโบสถ เที่ยวชมธรรมเจดีย์ซึ่งมีจิตรกรรมผาผนังแสดงถึงพุทธประวัติ ประวัติของพระสาวกและประวัติของครูอาจารย์ นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นพรหมสี่หน้าสถิตอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ
ถามเจ้าอาวาสวัดว่าทำไมจึงมีรูปปั้นพระพรหมอยู่หน้าพระอุโบสถ หลวงพ่อเจ้าอาวาสบอกว่า “เป็นการสอนธรรมะทางอ้อม โดยผ่านเทพเจ้าคือพระพรหมสี่หน้าหมายถึงมีคุณธรรมสี่ประการคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เขาไหว้พระได้กุศลแล้วก็ไหว้พระพรหมได้ธรรมะ ได้โชคสองต่อ”
หากใครเดินทางไปสิงคโปร์เที่ยวชมสถานที่ต่างๆแล้ว จะแวะเยี่ยมชมวัดป่าเลไลย์บ้างก็ได้ เป็นวัดไทยแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน หากรถไม่ติดใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ถึงแล้ว วัดป่าเลยไลย์ตั้งอยู่ที่ 49 เบอโดก วอล์ค เข้าไปเยี่ยมชมวัดได้ที่ www.watpalelai.org
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
20/12/55