ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

          วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาใกล้เข้ามาแล้ว ปีนี้เข้าพรรษาช้ากว่าทุกปี นั่นเพราะปีนี้เป็นปีอธิกมาสคือมีเดือนแปดสองครั้งนิยมเรียกว่า “แปดสองหน” คือนับเดือนแปดสองครั้ง  ตามปรกติในปีก่อนๆจะเข้าพรรษาในช่วงเดือนกรกฎาคม แต่ปีนี้เป็นเดือนสิงหาคม และวันออกพรรษาก็จะต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งเดือนเป็นปลายเดือนตุลาคม ชาวพุทธนิยมทำบุญในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา เพราะพระสงฆ์สามเณรจะอยู่ประจำในวัดแห่งใดแห่งหนึ่งตลอดสามเดือน การทำบุญทำได้หลายวิธีกล่าวโดยสรุปปุญญกิริยาวัตถุคือทาน ศีล ภาวนา


          ครั้งหนึ่งชาวบ้านเขานิมนต์ไปฉันภัตตาหารเพล ซึ่งได้กลายเป็นประเพณีที่นิยมกันมากอย่างหนึ่งของชาวพุทธไปแล้ว นิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล บางงานอาจจะมีการแสดงธรรมเทศนาหลังจากที่พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว หรือบางงานอาจจะมีการสนทนาธรรมในช่วงที่พระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหาร วันนั้นทุกอย่างดำเนินไปตามปรกติ จนกระทั่งพระสงฆ์ให้พรและอนุโมทนาเสร็จกำลังจะกลับวัด เจ้าภาพในงานท่านหนึ่งเป็นคนแก่อายุมากแล้วนั่งอยู่บนรถเข็น บอกให้ลูกหลานพาเข้ามาหาพระและเอ่ยสนทนาขึ้นว่า “ดิฉันแก่แล้ว ใส่บาตรพระทุกวันเหมือนสมัยก่อนไม่ได้  จึงให้เด็กรับใช้คนหนึ่งเป็นผู้ไปใส่บาตรพระสงฆ์แทน ดิฉันเกิดสงสัยว่าจะได้บุญหรือไม่”

 

          วันนั้นตอบไปในทำนองว่า “ปุญเป็นชื่อแห่งความสุข หากโยมใส่บาตรพระแล้วมีความสุขก็ได้บุญ ส่วนจะให้ใครไปกระทำแทนหรือไม่อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่เรามอบหมายให้ทำ หากเราไม่มอบหมายเขาอาจจะไม่ได้ทำ การกระทำของเขานั้นจึงเริ่มที่ตัวเรา เราจึงเป็นเหมือนต้นบุญ”
          โยมคนนั้นเล่าให้ฟังว่า “มีพระเทศน์ออกอากาศทางวิทยุว่าการทำบุญต้องทำด้วยตนเอง หากให้คนอื่นไปทำแทนเราจะได้ผลครึ่งเดียว โยมยังจำได้นะที่พระท่านเทศน์ว่า “บุญไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง”  อีกอย่างดิฉันป่วยจนกลายเป็นอัมพาตร่างกายพิการไปครึ่งท่อน เป็นเพราะผลกรรมอะไร” พระรูปนั้นอาจพูดเรื่องอื่นแต่โยมคนนั้นบังเอิญจำได้ในส่วนนี้
          จึงบอกว่า คำว่า “บุญ” มาจากคำว่า “ปุญญ” ในภาษาบาลี  แปลว่า บุญ ความผ่องแผ้วแห่งดวงจิต ความสะอาด ความสุข ความดี    หากทำแล้วแล้วจิตผ่องใส ใจมีความสุข ก็ชื่อว่าได้บุญ
          ในพระไตรปิฎกมีหลายเรื่องที่แสดงถึงผลของกรรมในอดีตชาติของเหล่าสาวกสาวิกาในสมัยพุทธกาล เรื่องหนึ่งที่พระนักเทศน์ทั้งหลายมักจะยกมาเป็นอุทาหรณ์อยู่บ่อยๆคือเรื่องนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้ของนางสามาวดีในสมัยพุทธกาล นางขุชชุตตราได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศแห่งอุบาสิกาผู้เป็นพหูสตร ดังที่แสดงไว้ใน อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต (20/152/82) ความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นางขุชชุตตรา เลิศกว่าพวกอุบาสิกาสาวิกาของเราผู้เป็นพหูสูต”

 

          มีเรื่องเล่าในอรรถกถาเอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 2 หน้า 124 สรุปความได้ว่า“นางขุชุตตราเกิดเป็นหญิงค่อมร่างพิการ เป็นหญิงรับใช้ของนางสามาวดี  แต่เป็นหญิงมีปัญญามากเป็นพหูสูตและได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
          นั่นเพราะกรรมในอดีตชาติของนาง  นางเคยเกิดเป็นหญิงใจบุญคนหนึ่งอุปัฏฐากพระปัจจเกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นคนหลังค่อมมีรูปร่างต่ำเตี้ย หญิงผู้อุปัฏฐายิกาคนนั้นกระทำเลียนแบบห่มผ้ากัมพลถือขันทองคำแกล้งทำเป็นคนหลังค่อมแสดงอาการเที่ยวไปเหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น พร้อมทั้งพูดว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าของพวกเราย่อมเที่ยวไปโดยนัยอย่างนี้”  เธอแสดงเหมือนตนเองเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินบิณฑบาต  เพราะผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้นนางจึงเกิดเป็นหญิงมีหลังค่อม
       ในวันหนึ่งพระราชาทรงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้นั่งในพระราชมณเฑียรแล้วให้ราชบุรุษรับบาตร บรรจุบาตรให้เต็มด้วยข้าวปายาสที่กำลังร้อนแล้วรับสั่งให้ถวาย  พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายถือบาตรอันเต็มด้วยข้าวปายาสร้อน  ต้องผลัดเปลี่ยนมือบ่อย ๆ พลิกไปพลิกมา  หญิงคนนั้นเห็นท่านแสดงอาการร้อนเพราะข้าวในบาตรร้อนจึงถวายกำไลมือ(วลัย) ทำด้วยงาแปดอัน ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของตนทำเป็นเชิงรองบาตรสำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า  เพราะผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น  ในบัดนี้นางจึงเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก  มีปัญญามาก  เพราะผลอันไหลออกแห่งการอุปัฏฐาก ซึ่งนางทำแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย นางจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล นี้คือบุพกรรมในสมัยพุทธันดรของนางขุชชุตตรา


          ส่วนการที่นางเกิดมาเป็นคนค่อมมีร่างพิการนั้นเป็นเพราะกรรมในอีกชาติหนึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงพาราณสีคนหนึ่ง ถือแว่น(กระจกเงา)นั่งแต่งตัวอยู่ในเวลาบ่ายวันหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุณีอรหันตขีณาสพองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยของนางได้เดินทางมาเยี่ยม ในขณะนั้นไม่มีหญิงรับใช้คนอื่นอยู่ใกล้เลย ธิดาของเศรษฐีจึงบอกว่า “ดิฉันขอไหว้ละท่านเจ้าข้า ได้โปรดหยิบกระเช้าเครื่องประดับนั่นให้แก่ดิฉันด้วยเถิด”  พระเถรีคิดว่า “ถ้าเราไม่หยิบกระเช้าเครื่องประดับนี้ให้แก่นาง นางจักทำความอาฆาตในเราแล้วบังเกิดในนรก  แต่ว่าถ้าเราหยิบให้ นางจักเกิดเป็นหญิงรับใช้ของคนอื่น แต่ว่าเพียงความเป็นผู้รับใช้ของคนอื่นย่อมดีกว่าความเร่าร้อนในนรก”  เมื่อพิจารณาอย่างนั้น พระเถรีอาศัยความเอ็นดูจึงได้หยิบกะเช้าเครื่องประดับนั้นให้แก่ธิดาเศรษฐี เพราะผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น นาง จึงเกิดเป็นคนรับใช้ของคนอื่นอีกหลายชาติ
          การทำบุญด้วยการให้ทานนั้นจะได้ผลสมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญหกประการคือมีความบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายให้ที่เรียกว่าทายกและฝ่ายรับที่เรียกว่าปฏิคคาหก ดังที่แสดงไว้ใน  ในทานสูตร     อังคุตรนิกาย ฉักกนิบาต  (22/308/306) ความว่า “ทักษิณาทานอันประกอบด้วยองค์หกประการของทายก(ผู้ให้ทาน)สามประการ และองค์ของปฏิคาหก(ผู้รับทาน)สามประการคือองค์สามของทายกได้แก่ ทายกในศาสนานี้คือ(1)ก่อนให้ทาน เป็นผู้ดีใจ (2) กำลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส (3) ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ นี้คือองค์ของทายกประการ

 

          ส่วนองค์สามของปฏิคาหกนั้นแสดงไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิคาหกในศาสนานี้ (1) เป็นผู้ปราศจากราคะหรือปฏิบัติเพื่อกำจักราคะ (2) เป็นผู้ปราศจากโทสะหรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะ (3) เป็นผู้ปราศจากโมหะหรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะ นี้คือองค์สามประการของปฏิคาหก
          หากผู้ให้และผู้รับประกอบด้วยคุณครบถ้วนการให้ทานนั้นก็ได้ผลเต็มที่ ในทานสูตรพระพุทธเจ้าจึงสรุปไว้ว่า “ทายกก่อนแต่จะให้ทานเป็นผู้ดีใจ กำลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจนี้เป็นยัญสมบัติ ปฏิคาหกผู้สำรวมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย คือ ท่านผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่มีอาสวะย่อมเป็นเขตถึงพร้อมแห่งยัญ ทายกต้อนรับปฏิคาหกด้วยตนเอง ถวายทานด้วยมือตนเอง ยัญนั้นย่อมมีผลมากเพราะตน(ทายกผู้ให้ทาน) และเพราะผู้อื่น (ปฏิคาหก) ทายกผู้มีปัญญา มีศรัทธา เป็นบัณฑิต มีใจพ้นจากความตระหนี่ครั้นบำเพ็ญทานอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุขไม่มีความเบียดเบียน”

 

          บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ถวายด้วยมือของตนเองเพราะสุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย แต่หากก่อนจะให้ทานเป็นผู้ดีใจ กำลังให้ทานมีจิตเลื่อมใส หลังให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ ผู้นั้นก็ได้บุญ และเป็นบุญที่เจริญแก่ผู้ให้ ดังที่พระพุทธเจ้าเปล่งอุทานครั้งหนึ่ง ดังที่แสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/127/132) ความว่า  “บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรย่อมไม่ก่อแก่ผู้สำรวมอยู่” แปลมาจากภาษาบาลีว่า “ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ  สํยมโต เวรํ น วียติ”
          การทำบุญของโยมคนนั้นตอบไปตามหลักฐานที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ส่วนการที่เขาป่วยเป็นอัมพาตนั้นตอบไม่ได้ เพราะไม่สามารถไปสืบค้นอดีตชาติของใครได้ สิ่งที่ทำได้จึงเพียงแต่เล่าเรื่องบุพกรรมของคนอื่นๆให้ฟังเท่านั้น เรื่องกฎแห่งกรรมและการให้ผลของกรรมนั้นมีเหตุประกอบอื่นๆอีกหลายอย่าง กรรมใดใครก่อ คนนั้นเป็นผู้รับผลของกรรม กรรมใครกรรมมัน การทำบุญก็เฉกเช่นเดียวกันบุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
31/07/55

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก