ตั้งใจไว้ก่อนออกเดินทางไปเกาะบาหลี อินโดนีเซียว่าหากมีโอกาสจะไปดูภาพที่ชาวฮินดูอาบน้ำวัดทัมปักชีริง ดูจากภาพแล้วก็ต้องบอกว่าเหมือนที่ตะโปทารามที่เมืองราชคฤห์ อินเดียเป็นอย่างยิ่ง แต่อยากจะไปเห็นกับตาว่าความเชื่อของคนฮินดูบาหลีแตกต่างจากชาวฮินดูที่อินเดียอย่างไร รออยู่หลายวันจึงมีโอกาสได้เดินทางไป สิ่งที่ได้พบเห็นในวันนั้นก็ต้องบอกว่าอัศจรรย์ในวิถีแห่งวัฒนธรรมของคนบาหลีเป็นอย่างยิ่ง น้ำจืดที่ผุดขึ้นจากบ่อทรายสีดำ แต่ทว่ากลับเป็นน้ำที่ใสสะอาดให้ผู้คนได้อาบโดยมีความเชื่อว่าได้อาบน้ำบริสุทธิ์เพื่อชำระบาปกรรมทั้งหลาย
ก่อนออกเดินทางไม่กี่วันกล้องคู่มือเกิดขัดข้องจึงนำเข้าร้านซ่อม แต่ซ่อมไม่เสร็จทันการเดินทาง แต่ได้กำหนดวันเวลาในการออกเดินทางไว้แล้ว ไม่มีกล้องก็คงไม่มีภาพ วันสุดท้ายจึงตัดสินใจยืมกล้องของเพื่อนท่านหนึ่งถือติดมือไปด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิธีการใช้งานของกล้องรุ่นนั้นเลย จึงถ่ายภาพออกมาไม่ได้อย่างใจ บางคนบอกว่ากล้องอะไรก็ได้ถ้าหากถ่ายภาพได้ก็ถือว่าใช้ได้ แต่หากเลือกได้ขอเลือกกล้องที่คุ้นมือน่าจะดีกว่าจะปรับแต่งอย่างไรก็ได้ นักถ่ายภาพบางคนบอกว่าแม้กล้องรุ่นเดียวกันแต่อยู่ในมือของคนต่างกันภาพที่ออกมาย่อมต่างกันด้วย มุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
อีกอย่างการเดินทางไปครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือการเข้าร่วมประชุมกับคณะสงฆ์ธรรมยุตอินโดนีเซีย ส่วนการเดินทางไปทัศนศึกษาสถานที่ต่างๆเป็นเพียงสิ่งที่เพิ่มเข้ามา เจ้าภาพอยากให้ไปไหนก็พาไป โดยเดินทางเป็นขบวนใหญ่ใช้รถบัสถึงสามคัน จึงไปไหนมาไหนได้ไม่มาก แม้ว่าสถานที่บางแห่งอยากไปแต่ก็ไม่ได้ไป บ่ายวันนั้นได้เดินทางไปยังบ่อน้ำพุที่ปุรา เตียร์ธา อัมปุล ไปดูคนบาหลีอาบน้ำ
ปุราเตียร์ธาอัมปุล ทัมปักชีริง (Pura Tirtha Empul Tampaksiring) วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ มีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใสสะอาดที่ผุดขึ้นจากใต้ดินผ่านทรายสีดำไหลผ่านท่อน้ำสำหรับให้คนได้อาบ เป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่าพระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำพุ สำหรับซุบชีวิตของเทวดาที่เสียชีวิตในสงครามให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เทวดาจึงไม่มีวันตายเพราะได้น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้เอง ชาวบาหลีเชื่อว่าถ้าได้มาอาบน้ำจากบ่อน้ำแห่งนี้จะเป็นสิริมงคลและขับไล่สิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง อีกทั้งยังรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในแต่ละวันจะมีผู้คนนิยมเดินทางมาเพื่อชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ก่อนการอาบน้ำจะมีการทำพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งน้ำพุที่แท่นบูชา เชื่อกันว่าที่อาบน้ำโบราณแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เกือบพันปีมาแล้ว
วันนั้นมีพระสงฆ์ที่จำพรรษาในอินโดนีเซียรูปหนึ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ตามปรกติจะแบ่งไว้สองทาง ทางด้านขวาสำหรับผู้ชาย ส่วนทางด่านซ้ายสำหรับผู้หญิง แต่จากสภาพที่พบเห็นในวันนั้นเขาอาบรวมกันทั้งหญิงและชาย มีอีกท่านหนึ่งบอกว่าด้านขวาสำหรับผู้ที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ ส่วนทางด้านซ้ายเป็นคนในวรรณะแพศย์และวรรณะศูทร ทางด้านซ้ายจึงมีคนมากกว่าทางด้านขวา
วันนั้นลองเอาน้ำล้างหน้าเพื่อพิสูจน์ว่าจะเป็นน้ำเค็มหรือน้ำจืด ผลปรากฏว่าเป็นน้ำจืดเย็นมาก เอาน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จหันกลับมาเพื่อนพระภิกษุกำลังรุมถ่ายรูปเป็นการใหญ่คงได้หลักฐานไปหลายภาพ จากนั้นจึงบอกให้ผู้ที่ร่วมเดินทางมาลองทดสอบดู แม้จะไม่ถึงกับลงอาบน้ำแต่ได้สัมผัสกับน้ำเพียงนิดเดียวก็ยังดีจะศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ อันนั้นไม่อาจทราบได้ แต่รู้สึกสบายเมื่อได้ล้างหน้าล้างตา
น้ำพุผุดขึ้นมาจากทรายสีดำในบ่อนั้นเห็นมีปลาแหวกว่ายไปมา น้ำเย็นจึงมีปลา คิดในใจตอนนั้นว่าหากน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง ปลาเหล่านี้ก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า เพราะปลาเหล่านั้นไม่ใช่เพียงแค่ได้อาบแต่อาศัยอยู่ในน้ำแห่งนั้นเลย สิ่งทั้งหลายจะมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่นั้นส่วนหนึ่งอยู่ที่ความเชื่อ ซึ่งความเชื่อของคนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน แต่หากความเชื่อนั้นไม่ทำร้ายใครก็ควรเชื่อต่อไป แต่หากเมื่อใดความเชื่อนั้นทำร้ายผู้คนความเชื่อนั้นก็ไม่ควรยึดถืออีกต่อไป เชื่อเพื่อทำความดี ดีกว่าเชื่อเพื่อทำความเลว
เพียงคนผ่านทางคนหนึ่งในจำนวนคนผ่านทางอีกหลายพันคนในแต่ละวัน เมื่อได้มาสัมผัสกับคติความเชื่อของคนที่นี่ก็อดทึ่งในความศรัทธาของพวกเขาไม่ได้ เขาเชื่อกันจริงๆว่าน้ำนั้นศักดิ์สิทธิ์และมีพิธีไหว้อย่างจริงจัง แม้ว่าในวัดจะไม่มีพระแต่มีพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี ในทำนองเดียวกับในบางเกาะของอินโดนีเซียไม่มีพระสงฆ์อยู่เลย แต่ชาวพุทธมีผู้ประกอบพิธีกรรมนำไหว้พระสวดมนต์ ที่เรียกว่า “บัณฑิต” ทำหน้าที่ทุกอย่างเหมือนพระสงฆ์แต่ไม่ได้บวช สถานที่ประกอบพิธีเรียกว่า “เจติยา” เป็นเหมืนศาลากลางบ้านสำหรับประกอบพิธีกรรม ส่วนผู้ที่มีฐานะอาจจะมีเจติยาส่วนตัวมีสามคำที่ใกล้เคียงกันคือ “เจดีย์ เจติยา และวิหาร”เจดีย์มีขนาดใหญ่ข้างในอาจจะมีที่ว่างสำหรับประกอบพิธีกรรม เจติยามีขนาดเล็ก ส่วนวิหารคือวัดที่เห็นได้โดยทั่วไปในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะที่บาหลีวัดหรือวิหารหรือปุรามีให้เห็นแทบทุกแห่ง ในแต่ละวันจะมีผู้คนถือเครื่องสักการะไปทำพิธีกรรมตามความเชื่อ
พระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียรูปหนึ่งบอกว่า “คนบาหลีเขาไหว้ทั้งเทพและมาร หมายความว่าเทพคือตัวแทนของความดีไหว้เพื่อความเจริญก้าวหน้า เทพจะได้ดลบันดาลให้ประสบสิ่งที่ดีๆ ส่วนมารหมายถึงความชั่วร้ายมีสัญลักษณ์คือยักษ์และผี ก็ต้องไหว้ด้วย เพราะหากยักษ์และผีพวกนี้ไม่ได้รับของเซ่นไหว้ก็อาจจะทำให้การทำการงานต่างๆมีอุปสรรคได้” หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเขาไหว้สองครั้งครั้งแรกสิ่งที่สถิตอยู่เบื้องสูงตามศาลต่างๆ จากนั้นจึงไหว้สิ่งที่อยู่บนดินบางแห่งอาจจะมีศาลบางแห่งอาจจะเป็นเพียงพื้นดินธรรมดา เมื่อเห็นอาการที่เขาไหว้อย่างนั้นทำให้คิดถึงการไหว้ฟ้าดินขึ้นมา มนุษย์อยู่ร่วมฟ้าและดินกับสรรพสัตว์เหล่าอื่น ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไหว้ฟ้าก็คือฝนขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ไหว้ดินคือพืชพันธุ์ธัญญาหารและความอุดมสมบูรณ์ หากฟ้าและดินมีความสมดุล การประกอบอาชีพก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดี สังคมเกษตรกรรมต้องพึ่งพาฝนจากฟากฟ้าและธัญญาหารจากดิน
ปุราเตียร์ธาอัมปุล หรือ ปุราเตียร์ธาอัมปึล บางคนอาจจะออกเสียงว่า ปุราเตียร์ตาอัมปึล จะอ่านออกเสียงอย่างไรก็ตามทีเถิด แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือน้ำพุแห่งความศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาฮินดู คนบาหลียึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนาฮินดู แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นศาสนาอื่นๆ แม้พระพุทธศาสนาก็มีวัดหลายแห่งในบาหลี เมื่อเปรียบเทียบกับชาวฮินดูที่ไปอาบน้ำที่ตะโปทาราม ราชคฤห์ อินเดียแล้ว แม้จะเป็นความเชื่อที่คล้ายกัน แต่การกระทำกลับต่างกัน ตะโปทารามจะมีที่อาบน้ำหลดหลั่นสูงต่ำตามวรรณะ แต่ที่ปุราเตียร์ธาอัมปุล มีความสูงเท่ากันแต่แยกกันคนละด้าน ใครอยู่วรรณะไหนก็ไปทางนั้น ไม่มีใครโกงวรรณะของตัวเอง พวกเขารู้กันในกลุ่มว่าใครวรรณะอะไร ควรอาบน้ำตรงไหน สัจจะความจริงเริ่มต้นที่บ่อน้ำพุแห่งปุราเตียร์ธาอัมปุลแห่งนี้นี่เอง ไม่ใช่เพียงแค่การอาบน้ำแต่ยังสอนความเชื่อทางศาสนาไปในตัวด้วย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
26/06/55