มีคนกล่าวกันว่าช่วงที่คนมีความสุขมากที่สุดวันหนึ่งคือวันที่เรียนจบการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ช่วงนั้นแม้คนที่ขี้เหร่ที่สุดก็ยังสวย งานนี้ไม่ต้องแต่งหน้าก็สวย เพราะความสวยออกมาจากภายใน ความรู้สึกแห่งความสำเร็จที่สู้อดทนมาหลายปีสิ้นสุดลงได้ด้วยความพากเพียรพยายามและอดทน แม้บางครั้งจะท้อแท้แต่ไม่เคยสิ้นหวังยังคงเรียนและเรียนจนกระทั่งสำเร็จตามความตั้งใจ เรียนไม่หยุดในที่สุดก็จบเอง
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยในอดีตตั้งอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาตั้งอยู่ที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จัดให้มีพิธีประทานปริญญาบัตรขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2553 นักศึกษาทั้งหมดเข้ารับปริญญาที่ห้องประชุมอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 นาฬิกาเป็นต้นไป งานนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ซึ่งเป็นวันซ้อมใหญ่ และวันอาทิตย์เป็นวันรับจริง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยแห่งใหม่ที่มีพื้นที่ 180ไร่ คราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งนักศึกษาผู้เข้ารับปริญญา ญาติพี่น้องที่มาร่วมแสดงความยินดีต่างก็มาร่วมงานกันจำนวนมาก ความสำเร็จมิใช่ของคนๆเดียวแต่เป็นความสำเร็จของญาติพี่น้องด้วย บางคนถามว่ามากับใคร ส่วนหนึ่งจะได้คำตอบว่ามาแสดงความยินดีกับพ่อแม่ที่เรียนจบปริญญา มหาวิทยาลัยแห่งนี้นักศึกษาคฤหัสถ์ส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ที่มีอายุ บางคนมีครอบครัวมีลูกมีหลานแล้ว แต่เพราะในสมัยที่ยังเป็นหนุ่มสาวไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่เมื่อมีการงานที่มั่นคงแล้วจึงย้อนกลับมาเรียนต่อ บางคนเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกเมื่ออายุเลยหกสิบปีไปแล้ว
นักศึกษาที่เข้ารับปริญญาในระดับปริญญาเอกท่านหนึ่ง ทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยจนมีตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์ แต่มาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกจนจบกลายเป็นรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์เมื่ออายุจวนเจียนจะหกสิบปี ถามว่าจะเรียนไปทำไม จบดอกเตอร์แล้วจะเอาไปทำอะไร ดอกเตอร์ใหม่ตอบอย่างน่าคิดว่า “เรียนเพื่อเป็นตัวอย่างของเด็กๆรุ่นหลัง แม้จะแก่แต่ก็ไม่เคยหยุด ชีวิตคือการเรียนรู้ เกิดเป็นคนต้องเรียนจนถึงที่สุด ผมเรียนเพื่อรู้จริงๆ คือรู้และเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต ไม่ได้เรียนเพื่อจะเอาไปทำงานอะไร เงินเดือนผมเกินอัตราดอกเตอร์มานานแล้ว แต่เมื่อจบก็ภาคภูมิใจว่าผมก็ทำได้ อย่างน้อยก็ช่วยเติมความฝันในวัยเด็กให้เต็ม ผมอยากเป็นดอกเตอร์ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดในการศึกษา แต่ปัจจุบันผมกำลังจะได้เป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์” มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดโอกาสให้ทุกเพศทุกวัยเข้ามาศึกษาเล่าเรียนได้
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยของคณะสงฆ์ไทย เริ่มเปิดการศึกษามาครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2436 ปัจจุบันมีอายุครบ 117 ปีแล้ว ในยุคแรกเปิดโอกาสให้เฉพาะพระภิกษุสามเณรเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ห้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวิทยาลัยขึ้นในบริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร พระราชทานนามว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย”โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ทรงอุทิศพระราชทรัพย์บำรุงประจำปีและก่อสร้างสถานศึกษาวิทยาลัยแห่งนี้ขึ้น โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงตั้งวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจการของ มหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น สามประการคือ (1)เพื่อเป็นสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณร (2) เพื่อเป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิและของต่างประเทศ (3) เพื่อเป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อมหามกุฏราชวิทยาลัยได้เปิดดำเนินการแล้ว ปรากฏว่าพระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้รับผลเป็นที่น่าพอใจตลอดมา เพื่อจะให้พระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ผลดียิ่งขึ้น ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะที่ทรงเป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยพร้อมด้วยพระเถระนุเถระ จึงได้ทรงประกาศตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาขึ้น โดยอาศัยนามว่า "สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย" เปิดสอนในระดับอุดมศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร นักศึกษารุ่นแรกที่เข้าศึกษาในครั้งแรกมีผู้เรียนจบเพียงแปดรูป
เห็นบัณฑิตที่เข้ารับปริญญามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันบ่งบอกถึงความสุข แม้เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามจะไม่มีสิทธิ์เข้ารับปริญญาในปีนี้กับเขาด้วย แต่ก็อยากมีส่วนร่วมจึงเข้าไปร่วมขอถ่ายรูปแสดงความยินดีกับพวกดอกเตอร์ใหม่ยืนอยู่กลางวงล้อมของดุษฎีบัณฑิต เพื่อที่ว่าหากมีโอกาสเข้ารับปริญญากับเขาบ้างจะได้คุ้นเคย ปกปริญญาสีม่วงนะหมายถึงปริญญาเอก สีส้มปริญญาโท ส่วนสีฟ้าหมายถึงปริญญาตรี พอได้ยืนยิ้มถ่ายรูปในท่ามกลางดอกเตอร์ใหม่ทั้งหลายก็เผลอคิดไปว่าตัวเองก็เป็นดอกเตอร์เหมือนเขา บางอย่างได้แต่คิด แต่บางอย่างไม่ต้องคิดเพียงแต่รอโอกาสที่จะมาถึงเท่านั้น
ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า"กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย"สถาบันการศึกษาแห่งนี้ ได้เริ่มเปิดให้การอบรมศึกษาแก่ภิกษุสามเณร ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน
ในวันที่ 1 ตุลาคมพุทธศักราช 2540 รัฐสภาได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยที่คณะกรรมธิการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยในอดีตจึงกลายเป็นมหาวิทยาลัมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดการศึกษาห้าคณะได้แก่คณะศาสนาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และบัณฑิตวิทยาลัย มีนักศึกษาเข้าศึกษาทั้งพระภิกษุสามเณร และฆราวาส เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก
ในปีพุทธศักราช 2553 ได้มีพิธีประทานปริญญาบัตรโดยมีสมเด็จพรมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานในพิธีประทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหารมกุฏราชวิทยาลัย
ปีนี้มีผู้เข้ารับปริญญาบัตรรวมทั้งสิ้น 5410 รูป/คน ทั้งปริญญาตรี โท เอก บัณฑิตในระดับปริญญาตรีเป็นพระภิกษุ 369 รูป คฤหัสถ์ 3785 รวมในระดับปริญญาตรีจำนวน 4154 รูป/คน ปริญญาโทมีพระภิกษุเข้ารับปริญญาจำนวน 176 รูป คฤหัสถ์ 1070 คน ปริญญาเอกมีผู้เรียนจบเข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจำนวน 10 คน ในจำนวนนี้เป็นพระภิกษุ 1 รูป วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาเป็นวันซ้อมใหญ่ ส่วนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2553 จะเป็นวันเข้ารับจริง
งานรับปริญญาปีนี้มีเด็กมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เมื่อสอบถามได้ความว่ามากับแม่บ้าง มากับพ่อบ้าง แม่เข้ารับปริญญาจึงชวนมาด้วย เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน งานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยแห่งอื่นผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีส่วนมากจะเป็นญาติผู้ใหญ่เช่นพ่อ แม่พี่น้อง แต่งานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยผู้ที่มาร่วมร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิต มหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตส่วนมากจะเป็นเด็กๆที่เป็นลูกหลาน พวกเขามาร่วมงานรับปริญญาเพราะตามพ่อแม่มา เพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่เฝ้า ใครที่ไม่มีโอกาสเรียนตอนเป็หนุ่มเป็นสาว หากเริ่มมีอายุและอยากจะเรียนต่อ ขอเชิญมาสมัครเรียนที่สถาบันการศึกษาแห่งนี้ได้ แม้จะมีอายุมากก็เรียนได้ปีนี้คนที่มีอายุมากที่สุดที่เข้ารับปริญญามีอายุ 87 ปี ต้องยอมยกให้เป็นยอดของคนที่มีความพยายาม สู้ไม่ถอยจริงๆ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
28/11/53