พระพุทธศาสนามีการบันทึกคำสอนมาตั้งแต่สมัยใดนั้นยังหาข้อยุติที่ชัดเจนไม่ได้ ในยุคแรกพระพุทธศาสนาเผยแผ่หลักสอนด้วยวิธีมุขปาฐะหรือสอนโดยตรงระหว่างอาจารย์กับศิษย์ อาจารย์ชำนาญเนื้อหาคำสอนส่วนไหนก็สอนเรื่องนั้นเช่นพระอุบาลีชำนาญพระวินัยก็สอนลูกศิษย์ทางด้านพระวินัย พระอานนท์ชำนาญพระสูตรก้สอนพระสูตร ต่อมาเมื่อมีการรวบรวมหลักคำสอนแยกออกเป็นปิฎกจึงกลายเป็นพระไตรปิฎกได้แก่พระวินัย พระสูตและพระอภิธรรม เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการค้นพบคัมภีร์โบราณของพระพุทธศาสนาที่หุบเขาบามิยัน และประเทศไทยได้อัญเชิญพระคัมภีร์นี้มาจัดแสดงที่ประเทศไทย น่าแปลกตรงที่คัมภีร์โบราณที่เชื่อกันว่าเก่าแก่ที่สุดของพระพุทธศาสนากลับพบที่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม
หนังสือพิมพ์มติชนเสนอข่าวว่า “คณะสงฆ์ไทย ตัวแทนจากภาครัฐได้อัญเชิญธรรมเจดีย์ คัมภีร์พุทธศาสนาโบราณ อายุกว่า 2,000 ปีจากประเทศนอร์เวย์ มาประดิษฐานและจัดแสดง ณ อาคารพิพิธภัณฑ์ทางพุทธศาสนา พุทธมณฑล อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ไทย-นอร์เวย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กว่า 100 ปี นับแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเยือนนอร์เวย์ครั้งแรก
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า “ธรรมเจดีย์เป็นพระคัมภีร์พุทธศาสนาเก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบก่อนสงครามจะเกิดขึ้น ในถ้ำบริเวณเทือกเขาบามิยัน ตั้งอยู่ห่างประมาณ 2 กิโลเมตรจากพระพุทธรูปหินบามิยันสูง 53 เมตร ที่ถูกทำลายในปี พ.ศ. 2544 ในอดีตดินแดนแถบนี้ชื่อว่าคันธารราฐ อยู่บนเส้นทางสายไหม เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยพุทธศาสนา และปัจจุบันดินแดนแถบนี้เรียกว่าประเทศอัฟกานิสถาน ทั้งนี้สถาบันอนุรักษ์สเคอเยน ได้คัมภีร์โบราณชุดแรก ในปี พ.ศ. 2539 จากพ่อค้าของเก่าซัมฟ๊อก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และได้วางแผนการขนย้ายคัมภีร์ทุกวิถีทาง ในช่วงปี พ.ศ. 2540 – 2543 (ในปีพ.ศ. 2544 ถ้ำแถบเทือกเขาบามิยันได้ถูกระเบิดทำลายจนหมดสิ้นรวมทั้งองค์หลวงพ่อบามิยันสูง 50 เมตร) ปัจจุบันสถาบัน ฯ สามารถอนุรักษ์คัมภีร์โบราณไว้ได้ประมาณ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นชิ้นส่วนสมบูรณ์และแตกหักเล็กน้อย และส่วนที่เศษชิ้นเล็กๆ อีกประมาณ 8000 ชิ้น ทั้งหมดมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6 – 12 การจารึกทำไว้ในใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์และแผ่นทองเหลือง นักโบราณคดีและภาษาศาสตร์นานาชาติใช้เวลา 12 ปี ทำการชำระคัมภีร์ดังกล่าวโดยสันนิษฐานสรุปว่า เป็นผลงานของพระอรหันต์ที่ได้จารึกพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 หรือประมาณร่วม 2,000 ปีล่วงมาแล้ว” (มติชน 08 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553)
อาฟกานิสถานเคยนับถือพระพุทธศาสนา ประมาณพุทธศตวรรษที่สาม เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช กระทำสังคายนาครั้งที่ 3 ได้ส่งพระธรรมทูตออกไปเผยแผ่ศาสนายังนานาประเทศและแว่นแคว้นอื่นๆ 9 สายคือ
สายที่ 1 มีพระมัชฌันติกเถระเป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นกัษมิระ คือรัฐแคชเมียร์ ประเทศอินเดียปัจจุบัน และแคว้นคันธาระ ในปัจจุบันคือรัฐปัญจาป ทั้งของประเทศอินเดียและประเทศปากีสถาน และกินลึกเข้าไปยังบางส่วนของอาฟกานิสถาน
สายที่ 2 พระมหาเทวเถระ เป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นมหิสมณฑลปัจจุบัน ได้แก่ รัฐไมเซอร์และดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ซึ่งอยู่ในตอนใต้ประเทศอินเดีย
สายที่ 3 พระรักขิตเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วนวาสีประเทศ ในปัจจุบันได้แก่ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย
สายที่ 4 พระธรรมรักขิตเถระ หรือพระโยนกธรรมรักขิตเถระ (ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นฝรั่งคนแรกในชาติกรีกที่ได้เข้าบวชในพระพุทธศาสนา)เป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ อปรันตกชนบทปัจจุบันสันนิษฐานว่าคือดินแดนแถบชายทะเลเหลือเมืองบอมเบย์
สายที่ 5 พระมหาธรรมรักขิตเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหาราษฎร์ ปัจจุบัน ได้แก่ รัฐมหาราษฎร์ของประเทศอินเดีย
สายที่ 6 พระมหารักขิตเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในเอเซ๊ยกลาง ปัจจุบันได้แก่ ดินแดนที่เป็นประเทศอิหร่านและตุรกี
สายที่ 7 พระมัชฌิมเถระ พร้อมด้วยคณะ คือพระกัสสปโคตรเถระ พระมูลกเทวเถระ พระทุนทภิสสระเถระ และพระเทวเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย สันนิษฐานว่า คือ ประเทศเนปาล
สายที่ 8 พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศในคาบสมุทรอินโดจีน เช่น พม่า ไทย ลาว เขมร เป็นต้น
สายที่ 9 พระมหินทเถระ (โอรสพระเจ้าอโศกมหาราช) พร้อมด้วยคณะ คือพระอริฏฐเถระ พระอุทริยเถระ พระสัมพลเถระ และพระหัททสารเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ กษัตริย์แห่งลังกาทวีป ปัจจุบัน คือประเทศศรีลังกา (เสถียร โพธินันทะ,ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา(พิมพ์ครั้งที่ 4)กรุงเทพฯ:,มหามกุฏราชวิทยาลัย,2543,หน้า 183)
นับเป็นพระธรรมทูตที่เดินทางออกนอกชมพูทวีปครั้งแรก ประเทศอาฟกานิสถานในสมัยนั้นสันนิษฐานว่าคือแคว้นคันธาระ ซึ่งมีพระมัชฌันติกเถระเป็นหัวหน้าคณะ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถยนี้มาก่อน
จากบันทึกของพระถังซำจั๋งหรือหลวงจีนเหี้ยนจังหรือเฮี้ยนจังได้บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า“แคว้นบามิยันตั้งอยู่ท่ามกลางบริเวณเทือกเขาหิมะ ชาวเมืองก่อสร้างแหล่งชุมชนขึ้นตามลักษณะของภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เมืองหลวงของแคว้นสร้างอยู่เหนือหน้าผาสูงและคร่อมหุบเขาลูกหนึ่งยาวประมาณ 6-7ลี้ทางด้านเหนือ ภายในแคว้นมีอารามหลายสิบแห่ง มีพระภิกษุหลายพันรูป ล้วนศึกษานิกายหินยานฝ่ายโลกุตรวาททั้งสิ้น”(ซิว ซูหลุน,ถังซำจั๋ง:จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง,มติชน,2547, หน้า 56)
นิกายโลกุตตรวาทนั้นมีคติความเชื่อขั้นพื้นฐานว่าโลกธรรมเท่านั้นที่ไร้แก่นสารปราศจากสภาวธรรมอยู่จริง แต่โลกกุตตรธรรมเป็นของจริงเป็นจริงหรือสภาวธรรมทั้งปวงล้วนไม่มีภาวะปรมัตถ์เลย มีอยู่สักแต่ว่าบัญญัติเท่านั้น ส่วนในอนาสวธรรมมีภาวะปรมัตถ์ ส่วนมติอื่นคล้ายกับมหาสังฆิกะ(เสถียร โพธินันทะ,ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา,หน้า 281)
ประเทศอาฟกานิสถานในยุคนั้นมีพระพุทธรูปแกะสลักบนผนังภูเขาขนาดใหญ่ดังที่หลวงจีนเฮียนจังบันทึกไว้ว่า “ที่เนินเขาด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวงของพามิยานมีพระพุทธรูปจำหลักด้วยศิลาสูง 140-150 เฉียะ(ประมาณ 53 เมตร) สีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีมีค่า ด้านตะวันออกขององค์พระพุทธรูปมีอารามแห่งหนึ่งซึ่งอดีตพระราชาของแคว้นทรงสร้างขึ้น ทางด้านตะวันออกของอารามมีพระปฏิมาของพระศากยมุนีหล่อด้วยทองแดงสูงราว 100 เฉียะ องค์พระปฏิมานั้นหล่อขึ้นเป็นชิ้นส่วนก่อน แล้วจึงมาประกอบเข้าด้วยกัน (หน้า 57)
นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปปางอื่นอีกเช่นปางไสยาสน์ ดังบันทึกว่า “ในอารามอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงออกไป 2-3 ลี้ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาวกว่าพันเฉียะ ทุกครั้งที่พระราชาของแคว้นมากระทำพิธีปัญจบริษัท ก็จะทรงบริจาคทุกสิ่งทุกอย่างแก่พระภิกษุจนหมดสิ้น” หน้า 57)
พระถังซำจั๋งหรือเฮี้ยนจังเดินทางไปอิเดียและประเทศใกล้เคียงเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกมายังประเทศจีนในปีพุทธศักราช 646 สิ่งที่หลวงจีนได้พบเห็นและบันทึกไว้ในยุคนั้น บางอย่างอาจสูญหายไปแล้ว บางประเทศได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น พระพุทธรูป รูปเคารพ หรือสิ่งที่เป็นที่เคารพของพระพุทธศาสนาถูกทำลายจนไม่เหลือร่องรอย ดังเหตุการณ์ที่พระพุทธรูปแกะสลักก็ถูกทำลายเมื่อเดือนมีนาคม 2544 โดยชาวตาลีบันแห่งอัฟกานิสถานได้ถล่มพระพุทธรูปยืน 2 องค์ ซึ่งสูงกว่า 50 เมตร และมีอายุยาวนานเกือบ 2,000 ปี จนพินาศเป็นธุลี
ชาวพุทธส่วนหนึ่งไม่สามารถทนอยู่ได้ ดังนั้น เมื่อ 5-6 ปีก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงหลบลี้หนีภัยออกจากอัฟกานิสถาน และได้นำพระคัมภีร์โบราณติดตัวไปด้วย ต่อมาคัมภีร์เหล่านี้ได้ตกเป็นสมบัติของมหาเศรษฐีนักสะสมชาวนอร์เวย์ และนักวิชาการโบราณคดีพบว่า พระคัมภีร์เหล่านี้มีอายุถึง 1,400 ปี เป็นหลักฐานเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา เป็นที่น่าตื่นเต้นยินดียิ่ง
ในส่วนของคัมภีร์คงเก็บรักษาไว้ตามถ้ำหรือที่เร้นลับอื่นๆทำให้ไม่มีคนพบเห็น คัมภีร์เหล่านี้ต่อมาได้ถูกค้นพบและขายให้กับนักค้าของเก่า และคงมีสัมบัติของพระพุทธศาสนาอีกมากมายที่ถูกเก็บรักษาไว้ในดินแดนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เก็บไว้ในฐานะเป็นวัตถุโบราณ เมื่อคัมภีร์มาแสดงที่ประเทศไทยคงต้องหาโอกาสไปคารวะ ได้ข่าว่าจะจัดแสดงจนถึงเดือนกุมภาพันธุ์ 2554 ใครมีเวลาควรไปชมดูสักครั้ง
ประวัตความเป็นมาของคัมภีร์นี้เชิญศึกษาเพิ่มเติมได้จาก http://www.watprom.iirt.net/article_06.html
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/11/53
หมายเหตุ: ภาพประกอบ http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=2569&Itemid=1&limit=1&limitstart=1