เรื่องกฎแห่งกรรมยังคงมีคนถามไถ่อยู่เสมอ แม้จะพยายามอธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องของกรรมนั้นดูเหมือนว่ายิ่งค้นหาก็ยิ่งจะมีความลึกลับซับซ้อนจนยากแก่การเข้าใจ อธิบายไปอธิบายมาแทนที่จะทำให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นบางครั้งอาจทำให้มึนงงได้ง่ายๆ ครั้นจะไม่พูดเรื่องกรรมหรือกฎแห่งกรรมเลยก็จะทำให้เดินหนีห่างไกลจากคำสอนของพระพุทธศาสนาออกไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมนั้นเป็นคำสอนสำคัญอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา
เมื่อครั้งที่อุปสมบทใหม่ๆได้อยู่พำนักและจำพรรษาที่วัดป่าในชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งวัดป่าแห่งนี้มีข้อวัตรที่พระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องถือปฏิบัติคือตอนเย็นหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้วจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำหน้าที่ถวายการนวดเส้นให้แก่พระอุปัชฌาย์เป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นงานที่พระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องถือปฏิบัติเหมือนกัน พระภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดจึงกลายเป็นหมอนวดจำเป็นไปโดยปริยยาย วันไหนที่หลวงพ่ออุปัชฌาย์(พระครูประสิทธิคณานุการ(คำดี)อารมณ์ดีท่านก็จะเล่าประวัติศาสตร์ต่างๆให้ฟัง ถือเป็นการศึกษาที่ดียิ่งอย่างหนึ่ง เรื่องต่างๆนั้นบางครั้งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน หลวงพ่อจะเล่าไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน พระภิกษุที่กำลังนวดเส้นก็นวดไปฟังไป จนกระทั่งหลวงพ่อเริ่มจะง่วง จึงได้กราบลากลับที่พัก ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับอาการปวดเมื่อยของหลวงพ่อเป็นเกณฑ์
มีอุปัชฌาย์อาจารย์ที่คอยแนะนำพร่ำสอนก็เหมือนมีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเพื่อให้ได้หลบแดดลมฝน ส่วนคนทั่วไปมีญาติผู้ใหญ่คอยตักเตือนก็เหมือนมีไม้ต้นใหญ่คอยให้ความร่มเย็น
วันหนึ่งเป็นวาระของผู้เขียน วันนั้นไปกับสามเณรรูปหนึ่ง จับเส้นบีบนวดไปตามเรื่องเท่าที่จะนึกคิดได้เพราะไม่เคยเรียนวิชานี้จากที่ไหนมาก่อน หลวงพ่อก็เล่าเรื่องราวในอดีตไปเรื่อยๆ มีตอนหนึ่งผู้เขียนเอ่ยถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับเรื่องกฎแห่งกรรมมีอยู่จริงหรือครับ” หลวงพ่อรีบลุกขึ้นนั่งพลางบอกว่า “มีสิ ถ้าพระภิกษุสามเณรไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแล้ว จะเอาอะไรไปสอนชาวบ้านได้เล่า ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มนุษย์ขึ้นอยู่กับการกระทำด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทำดีมันก็ต้องได้ดีวันยังค่ำ แต่เรื่องของเวลาบางครั้งก็ต้องรอ อาจจะไม่เห็นผลทันตาเหมือนรับประทานอาหารที่กินเมื่อไหร่อิ่มเมื่อนั้น การกระทำ เวลา สถานที่มีส่วนสำคัญในการที่กรรมจะแสดงผล” หลวงพ่อสาธยายอย่างยืดยาว
หากคำถามใดไปกระตุ้นต่อมวิชาการของหลวงพ่อเข้าท่านจะเล่าให้ฟังอย่างยืดยาว แต่หากคำถามใดออกนอกเรื่องไม่เกี่ยวกับธรรมะ หลวงพ่อหันมาห้ามปรามทันที “คนเราอยู่ในสถานะใดต้องคิด และทำให้เหมาะสมกับสถานะ พระภิกษุสามเณรต้องคิดเรื่องของพระศาสนา มิควรคิดถึงเรื่องของฆราวาส ต้องแยกให้ออก คนที่ศึกษาธรรมะนั้นต้องมองทุกอย่างให้เป็นธรรมะและอธิบายเข้าหาหลักธรรมะให้ได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาธรรมะที่แท้จริง”
วันนั้นก่อนเลิกการบีบนวดเส้นหลวงพ่อได้หยิบเมล็ดมะขามชิ้นหนึ่งแล้วยื่นส่งให้พลางบอกว่า “ภายในสามวันมาอธิบายให้ฟังซิว่าเมล็ดมะขามชิ้นนี้จะอธิบายเป็นธรรมะได้อย่างไร” จากนั้นก็สั่งให้เลิก
คิดอยู่สามวันตามที่หลวงพ่อกำหนด คิดหาคำอธิบายอย่างยากเย็น คิดไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไร เจ้าเมล็ดมะขามนี้จะเกี่ยวอะไรกับธรรมะในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อก็ช่างหาเรื่องให้คิด หรือว่าที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลย หลวงพ่อต้องการอะไรกันแน่ เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็เลยลืม
จนกระทั่งถึงวันที่จะต้องไปทำหน้าที่หมอนวดจำเป็นอีกครั้ง เริ่มต้นบีบนวดไปได้ไม่นาน หลวงพ่อก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ว่ายังไงเรื่องเมล็ดมะขาม จะอธิบายให้เป็นธรรมะได้อย่างไร”ตอนนั้นแม้อากาศจะเย็นสบายแต่มีความรู้สึกว่าเหงื่อได้ซึมไปทั่วร่างกาย อึกอักสักครู่จึงอธิบายแบบขอไปทีว่า “เมล็ดมะขามย่อมมีเชื้อของมะขามอยู่ภายใน เมื่อนำไปปลูกย่อมเกิดเป็นต้นมะขาม ผมไม่เคยเห็นคนนำเมล็ดมะขามไปปลูกแล้วกลายเป็นต้นไม้อย่างอื่นเช่นมะละกอ มะพร้าว มะนาวเป็นต้น หากนำเมล็ดมะขามไปปลูกเมื่อใดก็จะต้องได้ต้นมะขามขึ้นมาทุกครั้ง แสดงว่าความเป็นมะขามมีอยู่ในเมล็ดมะขามนั่นเอง หากจะเปรียบเทียบกับธรรมะน่าจะเข้ากับเรื่องของกรรม บุคคลทำกรรมใดย่อมได้รับผลของกรรมนั้น คนทำดีได้ดี คนทำชั่วได้ชั่ว แม้บางครั้งจะไม่เห็นผลทันตาเห็นก็ตาม ทุกอย่างต้องใช้เวลา เหมือนการปลูกต้นมะขามก็ต้องใช้เวลาจนกว่าต้นมะขามจะโตจนสามารถออกดอกออกผลเป็นมะขามในที่สุด มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันบางครั้งอาจจะไม่ได้รับผลของการกระทำทันทีต้องรอโอกาส เวลาและสถานที่ กรรมนั้นจึงจะแสดงผล อาจเห็นผลในชาตินี้หรือชาติหน้าก็ได้”
วันนั้นอธิบายไปอย่างนี้ หลวงพ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางบอกว่า “เข้าท่าแม้การอธิบายจะยังไม่ค่อยสละสลวยนักก็ตาม แต่ก็เริ่มมองเห็นทางแล้ว ขอให้ตั้งใจศึกษาต่อไป” วันนั้นได้ฉันน้ำผึ้งอย่างดีเพราะการอธิบายกฎแห่งกรรมฉบับเมล็ดมะขาม
ภายหลังเมื่อศึกษามากขึ้นจึงเห็นว่าธรรมชาตินั้นมีความยุติธรรม ย่อมมีกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน พระพุทธศาสนาเรียกว่านิยาม ในอรรถกถา มหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 1 หน้าที่ 100 ได้แสดงนิยามไว้ห้าประการความว่า “ชื่อว่านิยามนี้มีห้าอย่างคือกรรมนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตตนิยาม ธรรมนิยาม หากจะอธิบายขยายความของคำว่า “นิยาม” หมายถึงกำหนดอันแน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติประกอบด้วย
1.อุตุนิยาม หมายถึงกฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้ำอากาศ และฤดูกาล อันเป็นสิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์ สรรพสิ่งต้องมีความเหมาะสมจึงจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ อุณหภูมิ อากาศและฤดูกาลต้องพอเหมาะจึงจะทำให้มีชีวิตขึ้นมาได้
2.พีชนิยาม ได้แก่กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ มีพันธุกรรมเป็นต้น ลูกมักจะมีหน้าตาไม่เหมือนพ่อก็คล้ายแม่หรือญาติผู้ใหญ่บางคน แต่หากใครที่มีลูกหน้าตาไม่เหมือนแม่หรือพ่อเลยก็ต้องตรวจดีเอ็นเอซึ่งหากเรียกเป็นภาษาชาวบ้านดีเอ็นเอน่าจะเที่ยบได้กับคำว่า “พันธุกรรม”นั่นเอง แต่ภาษาพระพุทธศาสนาเรียกว่า “พีชนิยาม”
3.จิตตนิยาม ได้แก่กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต เรื่องนี้อธิบายยาก เพราะพระพุทธศาสนาถือว่าจิตมนุษย์ต้องรอให้ถึงเวลาจึงจะดับ ซึ่งก็ต้องดับกันทุกคนแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น พระพุทธเจ้ายังใช้เวลาสี่อสงไขยแสนกัปจึงทำให้จิตดับได้ พระพุทธศาสนาเรียกสภาวะที่จิตดับที่ว่า “นิพพาน” ซึ่งคนในปัจจุบันไม่ค่อยอยากกล่าวถึง เพราะแทบทุกคนยังอยากกลับมาเกิดอีก แม้จะบ่นว่ามนุษย์นี้แสนลำบากยากเข็ยนัก แต่ก็ยังอยากกลับมาเกิดอีก
4.กรรมนิยาม ได้แก่กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการให้ผลของการกระทำ เรื่องนี้ต้องอธิบายยาว เพราะการกระทำบางอย่างที่คิดว่าน่าจะให้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่หาความแน่นอนไม่ค่อยได้ มักจะมีตัวแปรทำให้ไม่สามารถสร้างเป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมาอธิบายที่สมบูรณ์แบบได้ จึงต้องมองแบบภาพรวมว่าการกระทำอย่างนี้ต้องได้รับผลอย่างนั้นเป็นต้น กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่อธิบายยากพอๆกับเรื่องฌานสมาบัตินั่นแหละ
5.ธรรมนิยาม ได้แก่กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากสามารถนำไปอธิบายเรื่องของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ ทุกอย่างต้องมีเหตุ น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ทุกอย่างก็ต้องมีสาเหตุทั้งนั้น
การที่เมล็ดมะขามสามารถทำให้เกิดต้นมะขามได้ก็เพราะได้อุณภูมิพอเหมาะนั่นคืออุตุนิยามและพีชนิยาม อาจจะไม่ครบตามองค์ประกอบของนิยามทั้งห้า เพราะเมล็ดมะขามไม่มีจิต แต่หากนำกฎนี้มาอธิบายมนุษย์ก็จะได้ครบทั้งห้าประการ นิยามทั้งห้าสามารถนำไปอธิบายการเกิดขึ้น มีอยู่และดับสลายไปของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลได้ นักศึกษาธรรมะมองทุกอย่างเป็นธรรมะสามารถอธิบายให้เข้ากับหลักการของพระพุทธศาสนาได้ แม้แต่เมล็ดมะขามก็ยังอธิบายตามหลักของกฎแห่งกรรมได้ ธรรมะเกิดจากสิ่งง่ายๆที่อยู่รอบตัวเรานี่แหละ หากมองด้วยดวงจิตที่มีธรรมะอยู่ภายใจแล้ว ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งนั้น วันนี้ขอเรียกชื่อว่ากฏแห่งกรรมฉบับเมล็ดมะขามก็แล้วกัน ส่วนจะเป็นมะขามหวานหรือมะขามเปรี้ยวนั้น...อันนั้นไม่ทราบ...
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/09/53