ปลายเดือนมีนาคมอากาศร้อนอบอ้าว บางวันแดดจัดมาก บางวันแม้จะไม่มีแดดแต่ก็ยังอบอ้าว ต้องเข้าหาความเย็น หรือสร้างความเย็นเพื่อไล่ความร้อน แม้ความร้อนจะยังคงมีอยู่ แต่เมื่อหลบร้อนเข้าสู่สถานที่เย็นก็พอผ่อนคลายความร้อนไปได้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เก่งมาก ถ้าร้อนมากก็หาที่เย็น แต่ถ้าหนาวหรือเย็นมากก็หาเครื่องทำความอุ่นหรือเครื่องทำความร้อน เมื่อยามอากาศดีก็ออกมากลางแจ้ง เมื่ออากาศแห้งแล้งร้อนมาก ก็หลบร้อนเข้าห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
ความร้อนจากสภาพอากาศเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล แม้จะไม่มีคำประกาศล่วงหน้ามาก่อน แต่ก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไป นั่นเพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา พอเข้าเดือนเมษายนอากาศที่เมืองไทยจะร้อน ต้องเตรียมพร้อมเพื่อสู้กับความร้อน นอกจากจะเป็นที่พักที่จะต้องหาเครื่องทำความเย็นให้พร้อมแล้ว วัฒนธรรมประเพณีในช่วงเดือนเมษายนก็สนับสนุนให้เกิดความเย็น เช่นสงกรานต์ประเพณีเล่นน้ำของคนไทยและบางประเทศในเอเชีย ก็มีมูลเหตุมาจากการดับความร้อน เมื่อร้อนก็แก้ปัญหาด้วยน้ำซึ่งเป็นความเย็น ดับร้อนด้วยความเย็น ความร้อนจากภายนอกยังพอหาวิธีแก้ไขได้ไม่ยากนัก
ยังมีความร้อนอีกอย่างหนึ่งทีเกิดจากภายใน ดังที่มีแสดงไว้ในอาทิตตปริยายสูตร วินัยปิฎก มหาวรรค (4/55/63) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน
โสตเป็นของร้อน เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ฆานะเป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ชิวหาเป็นของร้อน รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...
กายเป็นของร้อน โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...
มนะเป็นของร้อน ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน
ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น”
จากคำสอนนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างอายตนะภายในกับอายตนภายนอก คือเมื่อตาสัมผัสกับรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น กายกับการถูกต้องสัมผัส ใจกับธรรม ถ้าเป็นที่สิ่งที่ไม่พอใจก็จะเกิดความน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ส่งผลไปถึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นภายในจิตใจ
ความร้อนจึงเกิดขึ้นจากการกระทบกันระหว่างสิ่งภายในตัวมนุษย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับสิ่งที่อยู่ภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่นย รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ราคะ หมายถึง สี เครื่องย้อม ความกำหนัด ความยินดี เป็นกิเลสสายเดียวกับ โลภะ ที่แปลว่า ความโลภ ความอยาก ความดิ้นรน โทสะ มีความหมายหลายอย่างคือ ความประทุษร้าย ความโกรธ ความขัดเคือง ความเกลียดชัง ความมุ่งหมาย โทษ ความเสียหาย ความผิดพลาด ข้อบกพร่อง ข้อควรตำหนิ และ โมหะ แปลว่าความหลง
ถ้าเฝ้าสังเกตความเป็นไปของโลกและมวลมนุษยชาติอย่างพินิจพิจารณา จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้สื่อทั้งหลายมุ่งเน้นที่จะนำเสนอด้านที่น่าดูของรูปเช่นละครโทรทัศน์ก็เน้นที่ภาพสวยงาม ภาพแห่งความร่ำรวย ใช้ของดีมีราคา เสียงก็นำเสนอเสียงที่ไพเราะ ดนตรีที่น่าฟัง นักร้องรูปสวยน่าดูน่าชมเสียงดี กลิ่นก็มุ่งนำเสนอของหอม รสก็นำเสนออาหารเครื่องดื่มที่บอกว่าดีต่อสุขภาพทั้งที่จริงอาจจะไม่ใช่ มีการโฆษณาขายสินค้าทางสื่อต่างๆ สินค้าธรรมดาแต่เมื่อผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็อาจจะทำให้คนมีความอยากเพิ่มมากขึ้น โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์อาจจะสังเกตได้ยากหน่อย เพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจทำให้อยากได้ อยากมี อยากเป็น
ข่าวที่นำเสนอทางสื่อต่างๆก็มักจะเป็นเรื่องของการก่อคดีฆ่ากันตายไม่เว้นแต่ละวัน บางคดีเกิดจากไฟคือราคะทำให้เกิดความหึงหวงถึงกับเกิดการทำร้ายกันฆ่ากัน ส่วนโมหะที่สังเกตยากมากยิ่งขึ้น มนุษย์ส่วนหนึ่งหลงเชื่อไปตามคำโฆษณาต้องหาเงินเพื่อจะไปซื้อสิ่งที่เห็นในสื่อต่างๆ ทั้งๆสินค้าบางอย่างไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตและการดำเนินชีวิตเลย แต่เพียงเพราะอยากได้ อยากมี บางคนถึงกับต้องลักขโมย ปล้นจี้ขิงทรัพย์ มีให้เห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ สิ่งที่เราเป็นกับสิ่งที่เราอยากเป็นดูเหมือนจะเดินสวนทางกัน
การกระทำที่เกิดจากไฟทั้งสามกองคือราคะ โทสะ โมหะ ย่อมจะส่งผลให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ ถ้าทำให้ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ เบาบางลงได้ ความสงบร่มเย็นก็จะบังเกิดขึ้นได้ทั้งในใจของเราเอง คือใจก็เย็นสบาย เพราะไม่ได้ถูกไฟเหล่านั้นเผาผลาญ
เรื่องของสภาพแวดล้อมภายนอกพอจะแก้ไขได้ ร้อนก็หาอุปกรณ์มาแก้ร้อน เมื่อเย็นเกินไปก็หาเครื่องทำความร้อน มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆให้เกิดมีขึ้นในโลกส่วนหนึ่งมาจากการที่อยู่กับร้อนก็เป็น อยู่กับเย็นก็ไม่เป็นไร นี่นับเป็นความฉลาดของมวลมนุษยชาติ
แต่สำหรับเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ ถ้าความร้อนที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาจิตใจแล้ว ถ้าไม่ทำความเข้าใจด้วยปัญญา และการระงับดับร้อนให้ได้แล้ว อีกไม่นานความร้อนเหล่านี้จะเกาะกุมจิตใจมนุษย์เกิดการเข่นฆ่าสังหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยให้แตกสลายมลายไปจากโลก
อยู่กับร้อนให้เป็น อยู่กับเย็นให้ได้ ด้วยการมองทุกอย่างเป็นธรรมดา ทุกสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้นก็เสื่อมไปเป็นธรรม สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ย่อมแปรเปลี่ยนไปได้ทุกเวลา ดังภาษิตใน มหาสุทัสสนชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (27/95/31)ความว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับเป็นสุข”
เมื่อยามร้อนก็อยู่ให้เป็น เมื่อยามเย็น จะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่ร้อนระอุ หรือดินแดนที่หนาวเหน็บ ไม่ว่าห้วงยามที่ทำให้ใจร้อนหรือห้วงยามที่ทำให้ใจเย็นก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อน เมื่อใจสบายกายก็เป็นสุข
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
24/03/64