เสน่ห์และความงามของแต่ละสถานที่ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับช่วงเวลา บางแห่งงดงามในหน้าร้อน บางแห่งมีเสน่ห์ในช่วงหน้าหนาว แต่บางแห่งเสน่ห์อยู่ในช่วงหน้าฝน การเดินทางก็ต้องวางจุดหมายเบื้องต้นไว้ก่อนว่าจะไปดูอะไร จะไปทำอะไร ช่วงหนึ่งหน้าฝนได้เดินทางไปญี่ปุ่นจุดหมายปลายทางอยู่ที่การขึ้นไปทัศนาทัศนียภาพบนยอดภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปบนยอดเขาได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆปีละครั้งเฉพาะช่วงหน้าร้อนซึ่งหิมะละลาย ภูเขาไฟฟูจิกลายเป็นภูเขาธรรมดาที่ไม่มีหิมะปกคลุม แต่ท้าทายให้นักเดินทางได้มีโอกาสเดินขึ้นไปบนยอดเขาได้ เคยฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปให้ถึงยอดของภูเขาไฟฟูจิให้ได้ เมื่อมีโอกาสจึงสานฝันให้เป็นจริง
ถามตัวเองมาตลอดว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร พยายามหาคำตอบที่เป็นคำตอบอันเกิดจากตัวตนจริงๆ มิใช่คำตอบที่มาจากศาสนาที่มีคำตอบสำเร็จรูปอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละศาสนามีคำตอบแทรกอยู่ในหลักคำสอนของแต่ละศาสนา มีวิธีปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่เป้าหมาย และเมื่อไปถึงเป้าหมายแล้วจะได้อะไร บางศาสนาเป็นความสุข บางศาสนาเป็นสวรรค์ บางศาสนาเป็นนิพพาน บางศาสนาเพื่อความสงบของสังคม แม้จะมีความเชื่อพื้นฐานที่ได้มาจากคำตอบของศาสนา แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังไม่ใช่คำตอบที่เป็นที่พอใจจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะได้ยินได้ฟังมา แต่มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริง
ในพุทธประวัติ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าที่ยังทรงเป็นชายหนุ่มพยายามตั้งคำถามกับตนเองเมื่อครั้งที่ได้พบกับคนแก่ “ทำอย่างไรเราจึงจะไม่แก่” อีกครั้งเมื่อได้พบกับคนเจ็บ ก็ตั้งคำถามอีกว่า “ทำอย่างไรเราจึงจะไม่เจ็บ” เมื่อพบกับคนตายก็ตั้งคำถามอีกว่า “ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ตาย” จากนั้นก็พยายามค้นหาคำตอบเพื่อที่จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อีกครั้งหนึ่งเมื่อได้พบกับ “สมณะ” ที่ดำเนินชีวิตแบบไม่มีอะไร แต่ทำไมจึงดูมีความสุข”
ต้องใช้เวลาหลายปีในการค้นหาคำตอบ แต่ทุกคำตอบกลับไม่ถูกใจ จึงดำเนินชีวิตไปตามวิถีของคนทั่วไปที่ปฏิบัติกันคือศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่างๆ มีครอบครัวจนกระทั่งมีพระโอรส ก็ยังไม่ได้คำตอบ มีแต่จะทำให้ชีวิตยุ่งยาก มีความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น วันหนึ่งหนึ่งจึงได้บทสรุปว่า ต้องออกจากความเคยชินไปแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง
ชีวิตของนักค้นหาคำตอบของในยุคนั้นที่มีอันตรายน้อยที่สุด มีความคล่องตัวที่สุดคือการเป็นนักบวช มีเพียงบริขารเท่าที่จำเป็น เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบที่ยังคงค้างคาอยู่ในจิตใจ ศึกษาหาความรู้กับปราชญ์ทั้งหลาย จนสามารถเป็นครูสอนวิชาการต่างๆแทนครูเหล่านั้นได้ แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ
เวลาผ่านไปหกปีเต็มจึงค้นพบคำตอบที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุด คือไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตายก็อย่าเกิด ก็มาถึงคำถามอีกข้อว่า “ทำอย่างไรจะไม่เกิด” จนกระทั่งได้คำตอบในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ นั่นคือเมื่อหมดความอยาก ก็ไม่ต้องมาเกิดอีก ในที่สุดก็สอนวิธีการที่จะทำให้ไม่ต้องเกิดอีกนั่นคือ “นิพพาน” อันเป้นคำตอบสุดม้ายในพระพุทธศาสนา
หลักการเบื้องต้นนี้เรียนมาตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี จนเรียนจบปริญญาเอก ก็ยังรู้สึกว่าความรู้ที่เรียนมายังไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง ส่วนหนึ่งเป็นเพียงระดับความจำและสัญญาเท่านั้น ที่เป็นความรู้ที่เกิดจากจิตใจของเราจริงๆนั้นกลับยังหาไม่พบ
เราเกิดมาเพื่ออะไร สิ่งไหนที่เราอยากได้มากที่สุด ทรัพย์สินเงินทองหรือก็มีบ้างก็ดี ใช้ไปไม่นานก็หมด อาหารการกินหรือก็กินแค่อิ่ม วันต่อไปก็หิวอีกต้องหามาเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไป เสื้อผ้าอาภรณ์หรือก็แค่ปกปิดร่างกายไม่ให้อุจาดตาคนอื่น ที่อยู่อาศัยหรือก็แค่พอให้ได้หลบแดด หลบฝน ป้องกันเหลือบยุงริ้น สาระสำคัญของการดำเนินชีวิตจริงๆมีเพียงปัจจัยสี่อย่างคืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค น่าจะเพียงพอสำหรับการดำรงอยู่ได้แล้ว
แต่ในโลกของความเป็นจริงมีสิ่งของมากมายที่หามาตามความอยาก ยิ่งในยุคปัจจุบันการนิยมวัตถุ สิ่งของที่บางครั้งดูเหมือนจะจำเป็นเช่นโทรศัพท์ โทรทัศน์ รถยนต์ ที่มีราคาแพงก็ต้องหามาใช้สอย แท้จริงเป็นเพียงการตอบสนองความอยากที่ไม่เคยพอ ยิ่งได้มายิ่งอยากได้เพิ่มขึ้นอีก โทรศัพท์ก็ไม่ใช่เพียงแค่การใช้งาน แต่มีไว้เพื่อการชื่นชม ดูเหมือนว่าแม้จะมีสิ่งของเต็มห้อง แต่ความอยากได้ก็ยังไม่หมดไป มีแต่จะเพิ่มขึ้น จนห้องพักแทบจะกลายเป็นที่เก็บสิ่งของไปแล้ว
หลายครั้งที่เคยเดินทางไปอินเดียได้พบนักบวชมากมายหลายลัทธิ บางลัทธิทิ้งหมดแม้แต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เปลือยกายนุ่งลมห่มฟ้า มีชีวิตอยู่เพียงแค่อาหารวันละมื้อ บางลัทธินั่งเข้าฌานหลายวันโดยที่ไม่ได้ดื่มกินอะไรเลย เขาก็อยู่ได้ บางลัทธิไม่นอนก็ยังอยู่ได้ พวกเขากำลังค้นหาอะไร พวกเขากำลังคิดอะไร ทำอะไร ในใจกลับรู้สึกเลื่อมใส มิใช่ในหลักคำสอนแต่ศรัทธาในวิธีการที่แต่ละได้ถือปฏิบัติ เป้าหมายในคำสอนของแต่ละศาสนาอาจจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำตามความเชื่อที่ตนเองได้ปฏิบัตินั่นต่างหากคือสิ่งที่น่าชื่นชม
เราเองก็อยู่ในศาสนามานานเกินสามสิบปี เที่ยวค้นหาคำตอบโดยศึกษาปริยัติทั้งแผนกธรรม แผนกบาลีและแผนกสามัญ จนได้ใบปริญญาสามารถใช้ในการประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนในสาขาวิชาที่เรียนจบมา แต่ทำไมจึงยังมีคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ เราเกิดมาเพื่ออะไรช่างเถอะ ตอนนี้เกิดมาแล้ว เราจะอยู่อย่างไรก็พอเห็นทางแห่งการดำเนินชีวิต หากเรียนมาทางไหนก็ทำงานในสาขานั้นๆ แต่ชีวิตจริงๆหากไม่พูดถึงการทำงาน หากไม่มีอะไรเลยเราจะอยู่เพื่ออะไรกัน
ครั้งหนึ่งที่ทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ ญี่ปุ่น พวกเราวางแผนว่าจะเดินทางขึ้นไปยังยอดภูเขาไฟ มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาทักทาย เมื่อถามถึงเหตุผลแห่งการเดินทางเขาบอกว่า “ผมตั้งใจมาปีนภูเขาไฟฟูจิโดยเฉพาะเลยครับ ซึ่งเขาเปิดให้ขึ้นได้แค่ช่วงสั้นๆปีละสองหรือสามเดือนเท่านั้น ชวนเพื่อนๆก็ไม่มีใครว่าง ผมเลยตัดสินใจเดินทางคนเดียว ในช่วงชีวิตนี้หนึ่งในความฝันของผมคือการได้ขึ้นไปบนยอดภูเขาไฟฟูจินี่แหละครับ” พูดจบเขาก็เดินล่วงหน้าผ่านไป
ส่วนพวกเราค่อยๆเดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก อันที่จริงการขึ้นภูเขาไฟฟูจิก็มิใช่วัตถุประสงค์หลักในการเดินทางครั้งนี้ แต่เมื่อมาถึงญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่เขาเปิดให้ขึ้นภูเขา จึงตัดสินใจว่าเอานะลองวัดกำลังดูสักครั้งว่ายังพอไหวอยู่หรือไม่
ในช่วงของการเดินทางขึ้นภูเขารู้สึกเหนื่อยมาก หลายครั้งอยากปล่อยให้เป็นเพียงความฝันที่ไม่เป็นจริง วันนี้เหนื่อยจริงเป็นชีวิตจริงที่จะต้องพบเห็น แต่ก็ยังก้าวเดินต่อไปได้ ยิ่งขึ้นสูงยิ่งหนาว กระแสลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝนเริ่มโปรยปรอยและตกหนักขึ้นตามลำดับ ทางยิ่งสูงชันยิ่งเดินได้ช้า ผ่านไปถึงขั้นที่แปด เหลือระยะทางเพียงสี่ร้อยเมตร แต่กระแสลมและฝนตกหนักขึ้น หมอกหนามองได้ไม่กี่เมตร ผู้คนเริ่มทยอยเดินลงจากภูเขา พวกเราจึงปรึกษากันว่า น่าจะไปไม่ถึงจุดหมายเพราะทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย ตอนนั้นแม้ในใจยังอยากจะไปให้ถึงเหลือเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับมติในที่สุดก็ตัดสินใจเดินลงจากภูเขา ทิ้งจุดหมายไว้เบื้องหลัง เหลือไว้เพียงความฝันที่ยังไม่ได้เป็นจริง
ตอนเดินลงจากภูเขาไม่ลำบากเหมือนช่วงที่เดินขึ้น ตอนนั่นมีคำตอบผุดขึ้นมาในใจว่าชีวิตคือการเดินทาง เริ่มต้นจากวัยเด็กต้องเรียนรู้เพื่อฝึกฝนวิชาที่จะทำให้อยู่ในโลกนี้ให้ได้ หัดเดิน ฝึกพูด เข้าโรงเรียนเพื่อศึกษาภาษาของมนุษย์ เรียนรู้วิชาที่จะทำให้เป็นมนุษย์ จบการศึกษาก็ประกอบอาชีพ ทำงาน มีครอบครัว ชีวิตก็เหมือนการเดินขึ้นภูเขาต้องมีอุปสรรคนานนับประการ ต้องฟันฝ่าสู้กับสิ่งทั้งหลายเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่จุดหมายปลายทางของการทำงานคืออะไรนั้น สุดแท้แต่ละบุคคล บางคนเดินทางชีวิตผิดพลาดก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ พอถึงจุดหมายก็มีจุดหมายใหม่รออยู่ การเดินทางทางชีวิตจึงไม่มีวันสิ้นสุด แต่เมื่ออายุมากขึ้นเรียกว่าชีวิตขาลงก็ต้องลงจากสิ่งที่เคยทำ ค่อยๆปล่อยวางสิ่งทั้งหลายที่เคยหามาให้ได้ ในที่สุดเมื่อวันสุดของชีวิตมาถึงก็ต้องทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แม้แต่อัตภาพร่างกายที่เคยใช้มานานก็ต้องทิ้งไป ชีวิตนี้เหลืออะไรไว้บ้างเล่า
เราจะต้องแก่ จะต้องเจ็บ และจะต้องตาย เหมือนคนอื่นๆทั้งโลก เพราะเราเกิดมาแล้ว ทุกคนกำลังเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกัน ส่วนใครจะไปถึงก่อนแก่ หรือไปถึงก่อนเจ็บนั้น ก็แล้วแต่วิถีของแต่ละคน วันนี้ยังพอมีแรงโรคภัยก็ยังไม่มาก ยังพอไปไหวก็จะดำเนินต่อไป หากยังมีความฝันวันแห่งความจริงก็ย่อมจะมาถึงได้ในไม่ช้า
วันนั้นบนภูเขาไฟฟูจิแม้จะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่กลับไม่รู้สึกเสียใจอันใด ไปถึงก็ดี ไปไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่เรายังก้าวเดินต่อไปได้ สักวันหนึ่งก็ต้องไปถึงจนได้ ชีวิตของข้าเกิดมาเพื่อเดินทาง จะพยายามไปในสถานที่ที่อยากไป ถึงแม้ว่าบางช่วงเวลาจะไม่ได้เดินทางทางกายภาพ แต่ก็เดินทางทางจิต คิดพิจารณาค้นหาตัวตนที่แท้ หาทางแก้ไข ขัดเกลาทำให้ความอยากลดน้อยลง ชีวิตวันนี้รู้สึกว่าน่าจะเพียงพอสำหรับช่วงเวลาของการดำรงอยู่ เวลาที่เหลืออยู่น่าจะเป็นเวลาเพื่อการใช้ชีวิต
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
05/10/61