ประเทศอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2420 เป็นเวลายาวนานกว่า 70 ปี จนกระทั่งอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในวันที่ 15 สิงหาคม พุทธศักราช 2490 ประเทศอินเดียหรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐอินเดีย (Republic of India)" หลังจากได้รับเอกราช การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาก็ได้ดำเนินการในอีกรูปแบบใหม่ เพราะมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งคิดย้อนกลับไปยังอดีตที่อินเดียเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ทำให้คิดถึงพระพุทธศาสนาซึ่งถือได้ว่าถือกำเนิดขึ้นในชมพูทวีปซึ่งก็คือดินแดนส่วนหนึ่งของอินเดียนั่นเอง การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอดีตเคยดำเนินการโดยกลุ่มบุคคลและองค์กรต่างๆ แต่เมื่อินเดียได้รับเอกราชจึงเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในรูปแบบของมวลชนหรืออย่างเป็นทางการโดยเริ่มต้นจากรัฐบาลแห่งชาติ
3. การดำเนินการที่เป็นทางการ
หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช การดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ก็ได้ยึดถือแนวทางในการปฏิบัติแบบใหม่ โดยย้อนกลับไปสู่การนำเอาพระพุทธศาสนาเข้าสู่ความสัมพันธ์กับลัทธิชาตินิยมและสายธารวัฒนธรรมอินเดียตั้งแต่โบราณเป็นต้นมา เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญกำลังดำเนินการอย่างจริงจังในการยกร่างรัฐธรรมเพื่อความเป็นเอกราชของอินเดีย เกี่ยวกับธงชาติและตราประจำชาติทำให้คณะกรรมการยกร่างต้องคิดหนัก มีหลายท่านที่มองย้อนกลับไปที่มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นสุดยอดของกระแสธารนั่นคือพระพุทธศาสนา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนแห่งวันเวลาอันรุ่งโรจน์ของชมพูทวีปในอดีตกาล ภายใต้การอุปถัมภ์ของอดีตกษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะ และการมองเห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของคณะกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดร.ราเชนทร์ ประสาท ได้เสนอกงล้อธรรมจักรของพระพุทธศาสนาและสิงห์สีเศียรบนเสาหินพระเจ้าอโศก เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของอินเดียที่เป็นเอกราช แม้ว่าที่ประชุมจะคัดค้านบ้างแต่ในที่สุดประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้นคือ ดร. บี.อาร์.เอ็มเบ็ดการ์ เห็นด้วยและในที่สุดที่ประชุมจึงตกลงนำเอาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของอินเดียในอดีตมาเป็น “ตราประจำชาติ”ของอินเดีย
รัฐธรรมสำหรับสาธารณรัฐอินเดียเอกราช ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 (1949) เหตุการณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในปี พ.ศ.2492(1949)คือการนำเอาพระสารีริกธาตุของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะกลับมาจากกรุงลอนดอน อังกฤษที่ถูกนำไปตั้งแต่ ปี พ.ศ.2393 (1851) อีกเหตุการณ์หนึ่งในปี พ.ศ.2492 (1949)คณะผู้ปกครองแห่งรัฐพิหาร ได้ออกพระราชบัญญัติในการจัดการบริหารงานวัดพุทธคยา ซึ่งมีคณะกรรมการ 8 คนประกอบด้วยชาวพุทธ 4 คนและชาวฮินดู 4คน บริหารในรูปของคณะกรรมการ แม้ว่าวิธีการเช่นนี้จะไม่ค่อยเป็นเอกภาพนัก แต่อย่างไรก็ตามก็ถือได้ว่าชาวพุทธประสบความสำเร็จพอสมควรในการได้รับการควบคุมและจัดการวัดมหาโพธิตามวิธีนี้ ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของฮินดูนิกายมหันต์มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
ในปี พ.ศ.2493 (1950) ขบวนการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาได้รับการสนับสนุนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ บาบาสาเหฟ ดร. บี. อาร์. เอ็มเบ็ดการ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้นำวรรณศูทร เป็นวรรณะชั้นต่ำในสังคมที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ได้กลายที่เป็นที่ยอมรับของมหาชน เมื่อเขาได้ให้ความสนใจในปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง แต่ในปี พ.ศ.2493 (1950) เขาได้ทำให้สาธารชนรู้ถึงจุดมุ่งหมายที่สำคัญในจิตใจของเขาคือการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย ในปีนั้นเขาได้จัดงานพุทธชยันตีท่ามกลางชาวพุทธจำนวนมาก และงานนี้ก็ได้ถูกจัดขึ้นทุกๆปีในเวลาต่อมา ในปีเดียวกันนั้นเขายังได้เขียนบทความเนื่องในวันวิสาขะ ลงพิมพ์ในวารสารมหาโพธิในชื่อเรื่องว่า “พระพุทธเจ้าและศาสนาในอนาคตของข้าพเจ้า” สาระสำคัญของเรื่องนี้คือสิ่งที่เขากล่าวไว้ว่า “ในโลกนี้มีเพียงพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวเท่านั้นที่สอนเน้นถึงเรื่องเหตุผลและศีลธรรมเพื่อนำพาไปสู่ความหลุดพ้น และสอนว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกันมีความรักความผูกพันธ์เสมือนหนึ่งเป็นเครือญาติร่วมโลก
เหตุการณ์ที่สำคัญในปีประกาศเอกราชของอินเดีย ซึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำของมหาชนคือการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของอัครสาวกทั้งสองคือพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะและนำเอาสารีริกธาตุของสองอัครสาวกกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิด โดยรัฐบาลอังกฤษส่งคืนให้รัฐบาลอินเดียในเดือนมกราคม พ.ศ. 2492(1949) ตามคำเรียกร้องของมหาโพธิสมาคม ก่อนที่จะถูกนำไปบรรจุที่ศานจิ สารีริกธาตุของสองอัครสาวกก็ได้ถูกนำไปแสดงให้ประชาชนได้ชมทั่วอินเดีย และยังนำไปยังประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอื่นๆและประเทศเหล่านั้นยังแสดงการชื่นชมและแสดงสักการะบูชาต่อสารีริกธาตุของอัครสาวกทั้งสองอีกด้วย ส่วนในอินเดียมีการต้อนรับอย่างมโหฬารตื่นตาตื่นใจ ในที่สุดสารีริกธาตุก็ได้กลายเป็นสมบัติของรัฐพิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของสองอัครสาวก ในวันที่ 26 มีนาคม 2492 (1949) สารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะได้มาถึงปัตตนะ มีประชาชนมาร่วมต้อนรับด้วยความปีติยินดีอันล้นพ้นมากกว่า 50,000 คนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีบันทึกไว้โดย ดร. ศรีกฤษณะ สิงห์ ประธานคณะมนตรีแห่งรัฐพิหาร ได้แสดงไว้ด้วยความเคารพยกย่องในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้ว่า “นับเป็นประวัติการณ์ของรัฐพิหารและถือเป็นประวัติศาสตร์ของอินเดีย นอกจากนั้นยังนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ของโลก ที่น่าภาคภูมิใจสำหรับชาวอินเดียที่มีผู้นำทางศาสนาคือพระพุทธเจ้าและอัครสาวกที่เสียสละแก่ชาวโลกโดยปราศจากความเห็นแก่ตัวตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
เมื่อสิ้นสุดงานฉลองการกลับบ้านเกิดสารีริกธาตุของอัครสาวกทั้งสอง งานในการดำเนินการต่อไปจึงมอบให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ศานจิ ใกล้โบพัล (Bopal) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2495 (1952) ในงานนี้มีนายกรัฐมนตรีอินเดียและพม่าเข้าร่วมพิธีด้วย ตลอดจนผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลก มีคำปราศัยจากพระภิกษุจากประเทศต่างๆ ในโอกาสนี้ยวาหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดียได้กล่าวคำปราศัยว่า “ข้าพเจ้ามองเห็นลึกลงไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจะเป็นเครื่องชี้นำทางไปสู่ความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรือง ภาระกิจส่วนนี้นับเป็นส่วนสำคัญของชีวิต เพื่อเปิดเผยวิญญาณแห่งความรู้ของมหาชน ในการกลับสู่ถิ่นกำเนิดของสารีริกธาตุของอัครสาวกทั้งสอง นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อจิตใจของข้าพเจ้ามาก สาระสำคัญอีกประการหนคึ่งคือการสร้างวัดที่มีจิตวิญญาณขึ้นภายในหัวใจของทุกคน ประดิษฐานไว้เพื่อสักการะบูชาสำหรับความทรงจำในอดีตไว้เป็นผู้นำทางในโลกที่สับสน”ในบทสรุปเนห์รูกล่าวว่า “หลังจากการประชุมครั้งนี้สิ้นสุดลง เมล็ดพันธ์แห่งสันติสุขจะผลิบานและแพร่กระจายทั่วไป”ดังนั้นงานพิธีที่ศานจิจึงเป็นการเปิดแนวทางแห่งการหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตกาล เพื่อพลิกฟื้นคืนสู่การดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย
ในปี พ.ศ. 2499 (1956) เหตุการณ์ที่ถือเป็นนิมิตหมายในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เริ่มต้นด้วยวันคล้ายวันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ล่วงผ่านกาลเวลาไปนานถึง 2,500 ปี พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้จัดงานที่ยิ่งใหญ่เพื่อรำลึกถึงบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ สำหรับที่อินเดียได้จัดงานพุทธชยันตีขึ้น เพื่อเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นศักราชใหม่ในปีกึ่งพุทธกาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นศักราชแห่งความหวัง,สันติภาพและความรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา ในการฉลองพุทธปุรนัมตามความเหมาะสมในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ รัฐบาลอินเดียได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานพุทธชยันตีขึ้น โดยมี ดร. เอส. ราธกฤษณันรองประธานาธิบดีเป็นประธาน กรรมการคนอื่นมีอาทิเช่น ดร. สัมบุรณนันท์ ประธานคณะมนตรีแห่งรัฐอุตรประเทศ,ดร. ศรี กฤษณะซิงห์ ประธานคณะมนตรีแห่งรัฐพิหาร,เอส.ดี ซาร์มา ประธานคณะมนตรีแห่งรัฐอัสสัม,พระกุศักดิ์ พากุล ผู้นำลามะแห่งลาดัคห์และมหาราชกุมารแห่งสิกขิม ท่านศรี เนห์รู นายกรัฐมนตรีก็ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดงานพิธีฉลองพุทธชยันตี รัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุนเต็มที่ พิธีนี้จัดติดต่อกันตลอดระยะเวลา 1ปีเต็ม สิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2500 (1957) ในงานนี้มีกำหนดการดังนี้
1. วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2499 (1956) พธิวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์แห่งความทรงจำในนิวเดลี โดย ยวาหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย (ปัจจุบันอนุสาวรีย์นี้ยังคงอยู่ที่สวนพุทธชยันตี สร้างเป็นรูปดอกบัวเสริมคอนกรีต)
2. วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2499 (1956) ประชุมสาธารณชน โดยมีดร.ราเชนทร์ ประสาท ประธานาธิบดีอินเดียเป็นประธาน
3. วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 (1956) เปิดแสดงนิทรรศการทางศิลปะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่นิวเดลี ในการแสดงนิทรรศการนี้ยังได้เชิญตัวแทนจากนานาประเทศด้วย
4. วันที่ 17-18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 (1956) ประชุมสัมนาทางพระพุทธศาสนา
5. สิ่งตีพิมพ์
5.1. พิมพ์หนังสือ พระพุทธศาสนา 2,500 ปี
5.2. สมุดภาพอนุสาวรีย์ที่สำคัญๆทางพระพุทธศาสนา
5.3. ประกาศบนแผ่นหินของมหาจักรพรรดิ์อโศก
5.4. พระไตรปิฎกตัวอักษรเทวนาครี
6. จัดทำภาพยนต์สารคดีพุทธประวัติ พร้อมด้วยประติมากรรมและภาพพิมพ์ในอินเดีย
7. การพิมพ์สาระสำคัญที่เป็นเครื่องหมายแสดงถึงพิธีฉลองมหาพุทธชยันตี เริ่มต้นด้วยสานส์จากประธานาธิบดี ดร.ราเชนทร์ ประสาท มีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า “ในวาระโอกาสที่ถือเป็นศุภมงคลสมัยแห่งการครบรอบ 2,500 ปีของพระพุทธศาสนานี้ ข้าพเจ้าขอส่งคำอวยพรต่อพลเมืองชาวอินเดีย และพุทธศาสนิกชนทั่วโลกด้วย นับว่าเป็นวันเวลาอันทรงเกียรติสำหรับผู้ที่มีศรัทธาในความมหัศจรรย์ทางศีลธรรม และเป็นความเยี่ยมยอดแห่งวิญญาณมนุษย์ที่อยู่เหนือโลกียวิสัยและมวลสรรพสัตว์ หมู่ประชาชนที่ได้พบเห็นกับการกระทำทุกรกิริยาเพื่อค้นหาสัจจธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงด้วยขันติธรรมเพื่อสันติสุขแห่งจักรวาล นับเป็นการย้อนรำลึกถึงประสบการณ์แห่งสันติสุขเพื่อสร้างสันติธรรมต่อมวลมนุษยชาติจากโอกาสอันเป็นมงคลครั้งนี้”
ช่วงเวลาในการเฉลิมฉลองพุทธชยันตีอันยาวนานตลอดปีนี้หน่วยงานทางศาสนาและวัฒนธรรมมากกว่า 1,000 แห่ง ได้เข้าร่วมในงานด้วย กระดาษมากกว่าล้านหน้าได้ถูกเขียนในการสรรเสริญพระพุทธองค์ หนังสือพิมพ์และวารสารทุกฉบับในประเทศได้เพิ่มหน้าเพื่ออุทิศแด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา หนังสือและจุลสารอีกหลายร้อยเล่มได้รับการตีพิมพ์ด้วยภาษาต่างๆของชาวอินเดีย สถานีวิทยุทั่วประเทสออกอากาศบทสนทนาธรรมและการแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาตลอดปี มีการสร้างภาพยนตร์สารคดี 2 เรื่องคือองคุลีมาลและอัญชลี ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเฉลิมฉลองในงานนี้ด้วย ดร. บี อาร์ เอ็มเบ็ดการ์ ได้เตรียมการเพื่อการบันทึกแผ่นเสียง 2 แผ่นกับบริษัท H.M.V. เป็นภาษาบาลีคือไตรสรณคมน์และเบญจศีล ส่วนการฉลองความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาที่มหาโพธิสมาคมจัดขึ้นตามปรกตินั้นนับว่าเป็นพิธีการที่มีคุณลักษณะพิเศษและเน้นพิธีการทางศาสนามากกว่าเป็นการฉลองตามปรกติในโอกาสที่พระพุทธศาสนาล่วงเลยมาถึง2,500 ปีที่พระพุทธศาสนาเคยเปล่งประกายแห่งความรุ่งเรืองในดินแดนอันเป็นถิ่นกำเนิดคืออินเดียและได้รับการพลิกฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง โดยการซ่อมแซม ปรับปรุงส่วนที่ชำรุดเสียหายให้มีความน่าดูชมสำหรับนักทัศนาจรจากทุกสารทิศที่มาเยือน มีการสร้างถนนหนทางเพื่อการสะดวกในการเดินทางสร้างที่พัก สร้างโรงเรียนและสวนสาธารณะเพื่อประโยชน์สำหรับมหาชน การเดินทางเข้าประเทศอินเดียในปีฉลองพุทธชยันตีนี้ รัฐบาลผ่อนปรนสำหรับนักจาริกแสวงบุญเป็นพิเศษ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันนี้ (2499) คือการนำสารีริกธาตุของพระอรหันต์โมคคัลลีบุตรติสสะเถระและพระเถระรูปอื่นๆกลับคืนสู่มาตุภูมิ ซึ่งตกอยู่ในการครอบครองของพิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อัฐิธาตุเหล่านี้ส่วนมากเป็นของพระอรหันต์ที่อยู่ในยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช สถานที่ค้นพบอัฐิธาตุทุกแห่งได้จัดทำรูปโกศจำลองไว้ 3แห่งคือ (1) โกศแรกบรรจุอัฐิธาตุของพระโมคคัลลีติสสะเถระอรหันต์,โกสิกปุตตอรหันต์และโกติปุตตอรหันต์ (2)โกศที่สองบรรจุอัฐิของพระมหาวินัยอรหันต์,พระอปาคิระอรหันต์และโคทินีปุตตอรหันต์ (3) โกศที่สามบรรจุอัฐิของวาชิยะ สาวิชัยตะและพระอรหันต์องค์อื่นๆ อัฐิธาตุเหล่านี้นำมาถึงเมื่อวันที่5กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 (1956) โดยศรีมาตี วิชัย ลักษมีบัณฑิต สมาชิกคณะกรรมาธิการระดับสูงของอินเดียประจำรัฐอุตรประเทศ นอกจากนั้นท่านเนห์รูนายกรัฐมนตรีอินเดียยังต้อนรับถึงปะรำพิธีในสนามบินอีกด้วยพิธีการอันสมเกียรติ อัฐิโกศแรกรัฐบาลอินเดียมอบให้รัฐบาลศรีลังกา ส่วนอีก 2 โกศมอบให้มหาโพธิสมาคมแห่งอินเดีย ตั้งประดิษฐานไว้เพื่อสักการะบูชาที่ศานจิวิหาร
เหตุการณ์ที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งในระหว่างพิธีพุทธชยันตีคือวันที่14 ตุลาคม 2499 วันนั้น ดร. บีอาร์เอ็มเบ็ดการ์ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะโดยถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต มีประชาชนที่ปฏิบัติตามประมาณ 5 แสนคน พิธีนี้กระทำที่นาคปูร์ มีขบวนแห่พร้อมด้วยเสียงดนตรี ติดตามด้วยขบวนผู้ที่พร้อมจะปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ มีกงล้อธรรมจักรประทับอยู่ท่ามกลางขบวนพร้อมด้วย ดร.เอ็มเบ็ดการ์ ในการนี้ถือได้ว่าเป็นศักราชใหม่แห่งการดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างได้ผล ซึ่งสมควรจะเรียกได้อย่างเหมาะสมว่า “เป็นศักราชแห่งเอ็มเบ็ดการ์” สำหรับพระพุทธศาสนาในอินเดีย ไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่ามากกว่านี้ภายในช่วงเวลา 5ปี (1956-1961,2499-2504)ประชากรที่นับถือพุทธศาสนาได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยการจดทะเบียนประชากรอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยคิดเป็นร้อยละ 1670.71 คือเพิ่มจากที่เคยมีอยู่ก่อน 180,823 คน เป็น 3,250,227 คน จำนวนนี้เป็นเพียงการประมาณการ ยังมีจำนวนพุทธศาสนิกชนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หลังจากวันที่ ดร.เอ็มเบ็ดการ์ ได้ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วมหาชนที่ประกาศตนตามเจตนารมย์ของดร. เอ็มเบ็ดการ์ ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในปี พ.ศ. 1964-65 (2507-2508) มหาโพธิสมาคมแห่งอินเดีย ได้จัดพิธีฉลองวันครบรอบวันเกิด 100 ปี ของอนาคาริกธรรมปาละ ในระหว่างพิธีฉลองอันยาวนานตลอดปี ซึ่งงานนี้จัดขึ้นทั่วประเทศเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ริเริ่มงานด้านพระธรรมทูต พิธีฉลองที่น่าประทับใจมากที่สุดจัดขึ้นที่เมืองกัลกัตตา,นิงเดลีและสารนารถ งานฉลองวันเกิดครบรอบ100 ปีของธรรมปาละในเมืองหลวงของอินเดีย ได้ปลูกต้นโพธิในวันที่25ตุลาคม 1964 (2507) ที่สวนสาธารณะพุทธชยันตี โดยท่านลาล บาหดูร์ สาสตริ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งนำหน่อต้นโพธิมาโดย นาล สิริมาโว บันดารา ไนยเก นายกรัฐมนตรีแห่งศรีลังกา จากต้นโพธิที่อนุราธปุระ ในขณะที่ปลูกต้นโพธิมีการสวดพระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการร่วมงานที่มีสีสรรค์ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเวลาประมาณ2,300 ปี ล่วงมาแล้ว ที่พระนางสังฆมิตา (ราชธิดาของพระเจ้าอโศก) ได้นำเอาหน่อต้นโพธิจากต้นโพธิต้นเดิมที่พุทธคยาไปยังอนุราธปุระ หลังจากพิธีปลูก ได้มีการประชุมทางวิชาการ โดยจัดขึ้นที่พุทธวิหาร ณ มันคีร มารค์ นิวเดลี โดยมีท่านลาล บาหดูร์ สาสตริ และนาล สิริมาโว บันดารา ไนยเก ได้รับเชิญให้เป็นประธานเมื่อกล่าวถึงการปลูกต้นศรีมหาโพธิท่านศรี สาสตรี ได้กล่าวไว้ว่า “ในนามประชาชนชาวอินเดีย ถือว่าต้นโพธิเป็นต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์ และอาจได้รับแรงกระตุ้นจากต้นไม้นี้”และยังกล่าวต่อไปว่า “เมื่อหน่อต้นโพธิเจริญขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งปรัชญาอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า”ต้นโพธิในสวนสาธารณะพุทธชยันตีได้งอกงามขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะความน่าสักการะ(ศักดิ์สิทธิ์)ของต้นโพธิเอง จึงได้กลายเป็นที่สักการะของชาวพุทธผู้ที่มาเยี่ยมชมในวันพุทธปุรนิมา และในวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันอื่นๆอีก
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2507(1964) นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชาวอินเดียได้รับการชำระทางจิตวิญญาณโดยพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า เหตุการณ์ครั้งนี้คือการจัดเตรียมการประชุมองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก โดยจัดขึ้นที่ป่าอิสิปตนะสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เมืองสารนารถ จากวันที่ 29พฤศจิกายน -4ธันวาคม นับเป็นการประชุมครั้งแรกขององค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ที่จัดขึ้นที่อินเดีย ชาวพุทธอินเดียตื่นเต้นอย่างยิ่ง และพวกเขาก็ได้เข้าร่วมฟังในการประชุมอย่างล้นหลาม และได้รับฟังแนวความคิดที่แตกต่างกันจากชาวพุทธที่มาจากต่างประเทศเหล่านั้นด้วย โดยมีตัวแทนจาก 68 ประเทศ พร้อมด้วยผู้สังเกตุการณ์อีก 75 คนที่มาจาก 23 ประเทศตัวแทนชาวอินเดียมีจำนวนมากที่สุด ซึ่งมาจากอัสสัม,เดลี,แคชเมียร์(ลาดักส์),มัทราช,มหาราษฎร์,ไมซอร์,ราชสถาน,ตรีปุระ,อุตตรประเทศและเบงกอลตะวันตก การประชุมเริ่มต้นโดย ดร.สรวาปัลลีราธกฤษณันประธานาธิบดีอินเดียกล่าวเปิดงานในตอนเย็นวันที่ 29 พฤศจิกายน ต่อหน้าบุคคลสำคัญหลายคนเช่นพระสังราชา,ทะไลลามะ ผู้นำสูงสุดแห่งทิเบต,มหาราชาแห่งสิกขิม,นางสุเชตกริปลานีหัวหน้าคณะรัฐมนตรีแห่งรัฐอุตตรประเทศมหาราชาแห่งพาราณสี(บานารัส),นางลักษมี เอ็นมีนอน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีฝ่ายกิจการต่างประเทศมายอร์แห่งพาราณสี,นักการทูตและกลุ่มพระมหาเถระระดับสูง เป็นต้น เรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษในการประชุมครั้งนี้คือ ผู้เข้าร่วมกลุ่มใหญ่ที่มีแนวความคิดตาม ดร. เอ็มเบ็ดการ์ ซึ่งมีจำนวนหลายพันคนที่มาจากทุกภาคของอินเดีย
สุนทรพจน์ในพิธีเปิดของ ดร.ราธกฤษณันท์คือมธุรสวาจาสำหรับพุทธศาสนาที่เคยได้ยินในช่วงเวลานั้น ทุกคนที่มีเกียรติและความคิดเห็นทางความคิดและอารมณ์ความรู้สึกได้ให้การต้อนรับบทสรุปของนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ท่านประธานาธิบดีแห่งอินเดียได้กล่าวกับผู้ฟังว่า “ด้วยความสุจริตใจต่อคำสอนของบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ถ้อยคำตามตัวอักษรเท่านั้น แต่เป็นจิตวิญญาณ” ส่วนการพูดแสดงความขอบคุณนำโดยดร. จี.พี.มาลัลเสขร แห่งศรีลังกา กล่าวถึงความสำคัญของการมองการณ์ไกล ภาพแห่งการระลึกถึงอดีตแห่งการก่อตั้งองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2493 (1950) ในการประชุมได้มีมติที่ประชุมหลายข้อที่ถูกนำไปใช้ การประชุมสิ้นสุดลงในวันที่ 4 ธันวาคม พร้อมด้วยสุนทรพจน์ในการปิดการประชุมโดยหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิษกุล จากประเทศ ประธานองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกคนปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2509 (1966) ได้เห็นความสำเร็จอันงดงามของคณะสงฆ์ไทย ที่พุทธคยา ชาวพุทธไทยได้สร้างวัดขึ้นมีมูลค่าประมาณ 16ล้านรูปี เป็นวิหารที่ประณีตงดงามที่สุดที่สร้างในอินเดียสมัยปัจจุบัน(สมัยใหม่)
ในช่วงระยะเวลา 20 ปี พ.ศ. 2490-2510 (1947-1967) พระพุทธศาสนาดูเหมือนว่าจะมีความเจริญเต็มที่ ในช่วงที่อินเดียเป็นเอกราช ในสองทศวรรษแรกได้มีการอภิปรายในรัฐสภา โดยคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งยอมรับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นมรดกแห่งชาติ และยังได้นำเอาสัญลักษณ์ในโบราณของพระพุทธศาสนามาใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งอินเดียยุคใหม่ ในปี พ.ศ. 2510 (1967)พระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาก็ได้รับการท่องสาธยายเป็นครั้งแรก ที่สนามหญ้าหน้าลานรัฐสภานำโดยพระภทันต์ อนันท์ เกาสัลยายัน เป็นเหมือรการให้พรต่อรัฐสภา ในโอกาสนี้ได้รับการจัดเตรียมวิธีการที่เปิดเผย รูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ ผู้นำชาวพุทธสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและถือว่าเป็นบิดาแห่งรัฐธรรมนูญของอินเดีย รูปเหมือนปั้นโดยพรหมเมส.วี.ปวาคห์ ประติมากรที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีแห่งบอมเบย์ นำเสนอต่อพิธีกรแห่งโลกสภา โดยคณะกรรมการแห่งการระลึกถึงดร. บาบาสาเหฟ เอ็มเบ็ดการ์ ซึ่งมี วาย. บี.ชยัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งรัฐบาลอินเดีย เป็นประธาน ดร. ศรี ราธกฤษนันท์ ประธานาธิบดีแห่งอินเดียเป้นผู้เปิดผ้าคลุม ในการประชุมฆที่ยิ่งใหญ่ วันที่ 2เมษายน 2510 (1967) ชาวพุทธกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเพื่อพิสูจน์พิธีการทางประวัติศาสตร์นี้ จากแทบทุกส่วนของประเทศ พิธีสำคัญที่สุดได้ถูกเพิ่มเข้ามาในงานนี้ โดยการยืนกล่าวปาฐกถาของ พันซ์ ซีล หน้ารูปปั้นผู้นำของพวกเขา ซึ่งเป็นผู้บอกเส้นทางแห่งอิสรภาพแก่พวกเขา
ในปี พ.ศ. 2511(1968) พระพุทธศาสนาในอินเดียเป็นยุคสมัยของ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ มีความสำเร็จต่อเนื่องถึง 12 ปี เพื่อการเก็บสะสมสถานภาพทางสังคมในทางศาสนาสำหรับชาวพุทธใหม่ ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางของดร.เอ็มเบ็ดการ์ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปถึง 12ปี ในการบรรยายและแลกเปลี่ยนวิถีทางและมรรควิธีเพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริมต่อการดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอนาคต มรการประชุม 2ครั้ง จัดขึ้นโดยชนทุกชั้นทุกวรรณะในบอมเบย์ ระหว่างเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน การประชุมครั้งแรกจัดขึ้นวันที่ 23-24 ตุลาคม ภายใต้การควบคุมของภารติยะพุทธมหาสังฆะ ศรีมาติ อินทิรา คานที นายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นประธานเปิดการประชุม และศาสตราจารย์ อาร์ ดี ภันดาเรประธานรัฐมัธยมประเทศ เป็นประธานการประชุม
การประชุมครั้งที่ 2 ซึ่งจัดยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 พฤศจิกายน ภายใต้การอุปถัมภ์และคุ้มครองของพุทธสมาคมแห่งอินเดีย องค์ทะไล ลามะ เป็นประธานเปิดการประชุม ไภยาสาเหฟ วาย บี เอ็มเบ็ดการ์ บุตรชายคนเดียวของ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ เป็นประธานโดยการพิจารณาร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ ในท่ามกลางชาวพุทธทั้งหลายมีผู้นำเสนอในครั้งนี้เช่นพระกุศักดิ์ ภากุล หัวหน้าลามะแห่งลาดักห์ และพระภทันต์ อนันต์ เกาสัลยายัล
เหตุการณ์ทั่วไปในการประชุมครั้งนี้ นับเป็นความทรงจำของจิตยะภูมี (บริเวณที่เผาศพ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ วันที่ 7 ธันวาคม 2499(1956) ณ สวนสาธารณะวาสี บอมเบย์ ถูกเปิดเผย (เปิดผ้าคลุม) โดย วี พี ไนยเก หัวหน้าคณะมนตรีแห่งรัฐมหาราษฎร พิธีเปิดอนุสรณสถูป (สถูปแห่งความทรงจำ)ย้ายมาเปิดวันที่ 24 พฤศจิกายน
การเปิดวิศวะศานติสถูป (เจดีย์สันติภาพแห่งโลก)บนยอดเขารัตนคีรี เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร โดยประธานาธิบดีอินเดียวี วี คิริ วันที่ 25ตุลาคม นับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่สุดในปี 2513 (2513) ออกแบบทางศิลปะโดยศาสตราจารย์มิโนรุ โอโฮกะ แห่งญี่ปุ่น และแสดงคุณลักษณะตามแบบศิลปะอินเดีย อุเปนทรา มหาราชิ สูง130 ฟุต ยอดเจดีย์เป็นทองคำ ส่วนกว้างเกือบสองเท่าของศานติสถูปสร้างโดยพระนิชิทัตสุ ฟูจิประธานพุทธสังฆแห่งญี่ปุ่น ที่บนสุดของห้องกลางในสถูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธ์ของพระพุทธเจ้า โดยรัฐบาลอินเดียมอบให้ญี่ปุ่นเพื่อสักการะบูชาในปี 2495 (1952) ศิลาฤกษ์แห่งเจดีย์สันติภาพวางในเดือนมีนาคม 2505(1965)โดยดร. เอส ราธกฤษนันท์ ประธานาธิบดีอินเดีย เจดีย์สันติภาพที่สร้างโดยพระคูจิคุรุจิบนยอดเขาทาอูลิห่างจากภูวเนสวาร์ (โอริสสา) ประมาณ 16 กิโลเมตร ทาอูลิคือสถานที่ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ หลังจากทำสงครามครั้งประวัติศาสตร์ที่กาลิงคะเจดีย์สันติภาพกาลิงคะเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2515 (1972)
รัฐบาลแห่งประเทศไทยได้สร้างวัดไทยวัดแรกที่พุทธคยา ระหว่างปี 2513-2515 (1970-72) สร้างด้วยศิลปะแบบไทยและเป็นการจำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตรในกรุงเทพ วัดนี้น่าประทับใจทีเดียว โดยเฉพาะพระพุทธรูปทองคำภายในพระวิหารใหญ่ นับเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจมากที่สุด