ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

             พระพุทธศาสนากำเนิดขึ้นในชมพูทวีปหรือปัจจุบันคือดินแดนทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย และบางส่วนของประเทศเนปาล พระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งหายสาบสูญไปจากดินแดนที่เรียกว่ามาตุภูมิ พระพุทธศาสนาอยู่กับสังคมอินเดียได้ประมาณพันกว่าปี ก่อนที่สังคมอินเดียจะลืมพระพุทธศาสนา ชาวอินเดียได้ย้อนไปนับถือศาสนาฮินดูอีกครั้งซึ่งน่าจะเหมาะกับระบบสังคมอินเดียมากกว่า ยังมีชาวอินเดียส่วนหนึ่งหันไปนับถือศาสนาอิสลาม แม้จะมีชาวพุทธเหลืออยู่แต่ก็เป็นฆราวาส พระภิกษุชาวอินเดียจริงๆมีน้อยมาก จนแทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีพระสงฆ์ชาวอินเดียที่อุปสมบทในอินเดียเลยนานกว่าพันปี หากจะมีอยู่บ้างก็อุปสมบทจากพม่า ศรีลังกา หรือไม่ก็เป็นพระฝ่ายมหายานที่ได้รับการอุปสมบทตามแบบวัชรยาน 
             จนกระทั่งได้มีการขุดค้นทางโบราณคดี ในยุคที่อังกฤษปกครองอินเดีย ได้พบโบราณสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจำนวนมาก จึงได้เกิดการตื่นตัวทำให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ต่อไปนี้เป็นข้อความที่แปลมาจากหนังสือ  Buddhism in  Modern India เขียนโดย D.C. Ahir  ซึ่งได้แปลไว้นานแล้วแต่ยังแปลไม่จบ ตั้งใจว่าหากมีเวลาจะขัดเกลาสำนวนและตรวจสอบความถูกต้อง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ทำ วันนี้ลองศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดียสมัยใหม่ จากฐานแห่งความเข้าใจจากหนังสือที่เขียนขึ้นในอินเดียเอง
             ประวัติศาสตร์การดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้
                          (1) ยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (1750-1890 (พศ. 2293-2433)
                          (2) ยุคฟื้นฟูศาสนาที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบ  (1891-1947 (พศ. 2434-2490)
                          (3) การดำเนินการที่เป็นมวลชน(1947-1990 (พศ 2490-2533)


(1) สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (ค.ศ. 1750-1890, พ.ศ. 2293-2433)

             ยุคแห่งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย อาจกล่าวได้ว่ามีการเริ่มต้นขึ้นประมาณกลางคริสตวรรตที่ 18 เมื่อข้าราชการแห่งรัฐบาลอังกฤษ เริ่มนำเอาแสงสว่างของสิ่งที่มีคุณค่าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ฝุ่นและซากปรักหักพังต่างๆ เรื่องราวของคนที่มีความรักในการขุดค้นทางโบราณคดี ต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1750 (พ.ศ.2293) เมื่อปาเดอร์ ทิฟเฟนธาเลอร์ ค้นพบชิ้นส่วนจารึกของพระเจ้าอโศกบนเสาหินที่เดลี-เมรุส ปัจจุบันนำแสดงไว้ที่ริดจ์ เดลี ในปีเดียวกันนั่นเอง อัลลาห์บาด ก็ได้ค้นพบเสาหินอัลลาฮาบัส เกาสัมพี ติดตามมาด้วยการค้นพบเสาหินเลาริยา-ฮาราราช ในปี 1784 (2327) และจารึกที่ถ้ำภูเขาพาราบาร์ในปี 1785 (2328) นอกจากนั้นยังได้พบเสาหินเดลี-โทปรา ที่ เฟอโรสซาร์ โคตต้า เดลี ที่ค้นพบโดยร้อยเอก โปลิเออร์เขาได้นำเสนอภาพจิตรกรรมบางภาพในจารึกนี้ต่อเชอร์วิลเลี่ยม โจน ผู้ก่อตั้งสมาคมเอเชียแห่งเบงกอลที่เมืองกัลกัตตา เพื่อรวบรวม แปลความหมาย ตีความหมาย ตัวอย่างทางโบราณคดีชาติพันธ์วิทยาธรณีวิทยาสัตววิทยาที่สมาชิกค้นพบ

             ในปีค.ศ.1801 (2344) กัปตันเจมส์ โธอาเรได้จัดพิมพ์ผลการวิจัยทางเอเชียวิทยาครั้งแรก ในวารสารของสมาคมเอเชียติกแห่งเบงกอลว่าด้วยเรื่องจารึกโทปราแห่งเดลี เรื่องนี้ได้กระตุ้นความสนใจของนักวิชาการเป็นอย่างยิ่ง และพยายามแปลความหมาย (ถอดรหัส)การกำเนิดอาณาจักรของพระเจ้าอโศกเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างจริงจัง
             ในปี 1819 (2362) การค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยทหารอังกฤษ  2 คน มีหน้าที่ลาดตะเวน ได้พบถ้ำอชันตะโดยบังเอิญ ซึ่งจมอยู่ใต้พื้นดิน และไม่มีใครมองเห็นมายาวนานกว่า 1,000ปี ถ้ำอชันตะปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ถ้ำอชันตะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เชื่อมด้วยศิลปทั้ง 3แบบคือด้านสถาปัตยกรรม ปติมากรรม จิตรกรรม เมื่อค้นพบถ้ำอชันตะ จำนวนถ้ำาแกะธรรมชาติออกมา มีองค์ประกอบในรูปแบบที่แตกต่างกันมากมาย ยังถูกค้นพบที่เอลโลรา, นาสิก, การ์เล,พาจาและจุนนาร์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้อยู่ที่อินเดียตะวันตก
             ในปี ค.ศ. 1822 (2365) พันตรีเจมส์ ทอดด์ ค้นพบบทบัญญัติ(ประกาศ)บนหินก้อนแรกที่เกอร์นาร์(Girnar) ภูเขาศักดิ์สิทธ์ใกล้จูนากาดห์ ในคูจราช ในปี 1834 (2377) Lt.TS.  Burt ได้ทำการคัดลอกจารึกบนเสาหินอัลลาฮาบาด วารสารของสมาคมเอเชียติกที่เบงกอลได้พิมพ์เผยแพร่ สองปีต่อมาบทบัญญัติบนแผ่นหินที่ซาห์ ปาสการหิ(เมืองเปสวอร์ ปากีสถาน)ถูกค้นพบโดย M.A. Court  เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสในการบริการของมหาราชรันจิต ซิงห์ ปี ค.ศ. 1836 (2379) จารึกบนแผ่นหินและเสาหินได้ถูกค้นพบในส่วนต่างๆของอินเดียแต่ไม่มีใครรู้สาระหรือชื่อของผู้สร้างหินเหล่านั้น ไม่มีนักปราชญ์ชาวอินเดียคนใดเลยที่มีความสามารถเพียงพอที่จะแปลความหมายจารึกภาษาอินเดียโบราณที่สำคัญเหล่านั้น ไม่เพียงแต่พบแผ่นหินและเสาหินเท่านั้น แต่ยังพบเหรีญญเงินอีกจำนวนหนึ่งด้วย ในปี พ.ศ. 2380(1837) เจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งโรงงานกษาปณ์ของอินเดียและเลขาธิการสมาคมเอเชียติกแห่งเบงกอลประสบความสำเร็จหลังจากเวลาผ่านไปหลายปีของการศึกษาอย่างเพียรพยายามอย่างหนักในการแปลความหมายจารึกซึ่งเป็นภาษาปรากฤต (Prakrit) ซึ่งเป็นภาษาผสมระหว่างภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ปรินเสพ (Prinsep) ได้ปรึกษากับนักวิชาการภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต และด้วยความช่วยเหลือของนักวิชาการเหล่านั้น เขาก็สามารถดึงเอาความจริงออกมาโดยวิธีแปลความหมาย (ถอดรหัส) ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2380 (1837)ปรินเสพก็ได้แยกพิมพ์ การแปลความทางสัทศาสตร์และแปลเป็นภาษาอังกฤษประกาศบนเสาหิน 7 หลัก ถ้อยคำที่ถูกเปิดเผยมีดังนี้ “คำพูดเช่นนี้อันเป็นที่รักของเทพเจ้า  กษัตริย์ปิยทัสสี ผู้ยังคงเป็นกษัตริย์ผู้มีความลึกลับ ด้วยคงามโชคดีในปรเดียวกันนั่นเอง จอร์จ เทอร์เนอร์ (George Turnour) แปลและจัดพิมพ์คัมภีร์มหาวงศ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการบันทึกพงศาวดารเกี่ยวกับภาษาบาลีแห่งศรีลังกาการเกิดขึ้นของคำว่าปิยทัสสีในคัมภีร์มหาวงศ์ช่วยให้เจมส์ปรินเสพสามารถระบุได้ว่ากษัตริย์ปิยทัสสีก็คือพระเจ้าอโศกมหาจักรพรรดิ์แห่งพระพุทศาสนาผู้ยิ่งใหญ่การแปลความหมาย Asokan Lip1 และการระบุว่าอโศกก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นทำให้เพิ่มคุณค่าประวัติศาสตร์อินเดียที่ต้องทำการปรับปรุงใหม่
             ในปี พ.ศ. 2381 (1838)เจมส์ปริพเสพ ได้แปลความหมายและพิมพ์คำจารึกบนแผ่นหินที่ค้นพบที่เกอร์นาร์ (Girnar)และดาอูลี Dhauli ในเมืองปุรี (puri) โอริสสา (Lieutenant Kittoe ค้นพบในปี พ.ศ. 2380) ดังนั้น เจมส์ ปรินเสพ จึงได้โหมงานอย่างหนักซึ่งเกือบจะเป็นงานที่ต้องทำคนเดียว ซึ่งหามาได้ในช่วง 10เดือน ส่วนสำคัญๆของจารึกอโศกนี้เป็นภาระหน้าที่ที่ต้องใช้พลังมหาศาลอย่างแท้จริง ผลกระทบต่อการทำงานหนักเกินไป มีผลต่อสุขภาพของปรินเสพ เขาได้ล้มป่วยลง จึงได้ออกจากอินเดียกลับคืนสู่ภูมิลำเนาคืออังกฤษในปี พ.ศ. 2383 (1840) หลังจากนั้นไม่นานนักเขาได้เสียชีวิตลง
             ในปีพ.ศ 2383(1840) ประกาศบาบรูบนแผ่นหินที่เมืองไพรัช ใกล้เมืองไชยปุระที่ค้นพบโดยร้อยเอกเบอร์ท (Burt) ร้อยเอกคิตโต (Kittoe) ได้ถอดความและแปลประกาศฉบับนี้10 ปีต่อมาในปีพ.ศ. 2393 (1850) เซอร์วอลเตอร์ อัลเลียต ค้นพบจารึกบนแผ่นหินที่เจากาดา (Jaugada) ในเมืองคันจัม รัฐโอริสสา และทำการคัดลอกออกมา ผู้รับรองยืนยันว่ามันเป็นคำบรรยายอย่างหนึ่งของประกาสพระเจ้าอโศกที่ถูกค้นพบที่ดาอูริ( Dhauli)เกอร์นาร์และซาร์บาซการทิ (Girnar and Shahbazgarhi) ในปี พ.ศ. 2403 (1860) ฟอร์เรส (Forrest) ได้ค้นพบจารึกบนแผ่นหินพระเจ้าอโศกอื่นๆอีกที่เมืองคาลสีใกล้เมืองเดห์รา ดุน (Kalsi) Dehra Dun
              ในปี พ.ศ. 2394 (1851) ที่เมืองศานจิ (Sanchi) มีการค้นพบที่สำคัญใกล้ๆกับโบพัล (Bhopal) แม้ว่าอนุสาวรีย์ที่เมืองศานจิจะถูกค้นพบและการช่วยเหลือจากภาวะที่ถูกลืมเลือนในยุคแรกๆคือพ.ศ. 2361(1818) แต่ในปี พ.ศ. 2394(1851) คันนิ่งแฮมก็ได้เปิดเผยสถูปนี้จากภายในสถูป 3 แห่ง เขาได้ค้นพบโบราณวัตถุ สารีริกธาตุของอัครสาวก 2 รูปคือพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ โครงกระดูกอันลึกลับเหล่านี้ ได้นำไปที่กรุงลอนดอนและเก็บรักษาไว้ในการอารักขาอันปลอดภัย จนกระทั่งส่งกลับมาที่อินเดียในศตวรรตต่อมาคือในปี พ.ศ. 2492 (1949)

             การเดินทางมาถึงของเซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ได้เร่งการค้นหาและปฏิสังขรณ์สถานที่ทางโบราณคดีในอินเดีย เขาเป็นนักโบราณคดีและวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในยุคของการฟื้นฟูอย่างไม่ต้องสงสัย ในปี พ.ศ. 2404 (1861) รัฐบาลอินเดียได้แต่งตั้งเขาเป็น ผู้อำนวยการทั่วไปแห่งการสำรวจทางโบราณคดีคนแรก ความกระตือรือร้นและความสนใจในเรื่องราวทางโบราณคดีของคันนิ่งแฮม ได้เปิดแนวทางแห่งการระลึกถึงเรื่องในอดีต(vista) ในการศึกษาโบราณคดีในอินเดีย ตัวเขาเองท่องเที่ยวไปทั่วอินเดียเพื่อเยี่ยมชมแหล่งโบราณสถานแทบทุกแห่ง และเตรียมการจัดทำแผนที่ทางภูมิศาสตร์อย่างเป็นระบบสำหรับอินเดียในยุคโบราณ ผลงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับการรำลึกถึงเขาคือ “ภูมิศาสตร์โบราณของอินเดีย”ในส่วนที่หนึ่ง ยุคแห่งพระพุทธศาสนา คันนิ่งแฮมได้สรุปว่า เป็นประวัติศาสตร์ที่งดงามบรรเจิดสำหรับการคงอยู่ของพระพุทธศาสนาและอนุสรณสถานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศในปีพ.ศ.2413 (1807)เขาได้ขุดค้นบริเวณใกล้วัดมหาโพธิและจัดพิมพ์สรุปผลการสำรวจในบทความชื่อ “มหาโพธิหรือวัดที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสน ณ พุทธคยา” ในปี พ.ศ. 2416-17 (1873-74) คันนิ่งแฮมได้ขุดค้นมหาสถูปบารหุต (Bharhut) ทำให้ได้พบศิลปะของพระพุทธศาสนาอันงดงามประณีตจากการลืมเลือนในอดีต การจัดพิมพ์หนังสือของเขาในชื่อ “สถูปแห่งบารหุต” ได้จุดประกายบนสถานที่สัะกการะของพระพุทธศาสนาในอินเดียกลาง การพิมพ์หนังสือที่สำคัญอย่างหนึ่งของคันนนิ่งแฮม  ที่มีพื้นฐานบนการวิจัยของเขาคือบิลห์สาสถูป (Bhilsa Stupa) คันนิ่งแฮมยังสนใจจารึกพระเจ้าอโศกอีกด้วย ในปีพ.ศ. 2420 (1877) ได้จัดพิมพ์จารึกที่รู้จักกันดีในการรวมบทความชื่อ “Corpus Inscriptionam Indicarum” ในบทความชุดนีจารึกทั้งหมดถูกพิมพ์ใน Fascimile  การแปลความหมายโดยใช้สัทศาสตร์และการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในเวลาใกล้เคียงกันนี้ได้มีการค้นพบ จารึกบนแผ่นหินไพรัต ไมเนอร์,จารึกบนแผ่นหินรูปนารท ไมเนอร์และจารึกบนเสาหินรามปุรวะอีกด้วย
             ในปี พ.ศ. 2425 (1882)ชิ้นส่วนของประกาศบนแผ่นหินพระเจ้าอโศกถูกค้นพบที่โสปารา ในเมืองรานา มหาราษฏร์ โดย ดร.ภควัน ลาล อินทราจิ และในปี พ.ศ. 2432 (1889)ร้อยเอกเลจห์ (Leigh) ได้พบจารึกบนแผ่นหินที่แมนเซหรา ในเมืองฮาซารา ปากีสถาน ในปี พ.ศ. 2433 (1890) หลุยส์ ริดส์ ได้ค้นพบประกาศบนแผ่นหินชิ้นเล็กๆในไมซอร์

             การค้นพบทางโบราณคดีมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแรงกระตุ้นต่ออนาคตเพื่อดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ได้ก่อเกิดกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางด้านวรรณกรรมของนักิชาการชาวตะวันตก ผู้มีความน่าเชื่อถือสำหรับการก่อให้เกิดบรรยากาศสำหรับผู้ที่มีรสนิยมและธรรมชาติเหมือนกัน เพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดียและต่างประเทศ

             ผู้นำในการบุกเบิกการดำเนินการทางด้านวรรณกรรมพระพุทธศาสนาคือ เอ็ม วินเดอร์นิส, อี. เบอร์โนฟ,วี. เฟาว์ฟอล,ปรินเสพ,เควิน,คอสมา เดอ โกเรส์,โอเดนเบอร์ก,ฟุสซิน,ลีวายส์,เซอร์บาสกีและนายและนางริดส์เดวิดส์ การค้นพบวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเริ่มต้นด้วยวินเดอร์นิส ผูพยายามเขียนประวัติศาสตร์วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในภาษาฝรั่งเศสเป็นชุดที่2ในชื่อ “ประวัติศาสตร์วรรณคดีอินเดีย” ในปี พ.ศ. 2387 (1844) เบอร์โนฟ ได้จัดพิมพ์ “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา” ครั้งแรก หนังสือเล่มที่ 2 ของเขาแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสคือ “สัทธรรมปุณฑริก” ประมาณปี พ.ศ. 2395 (1852)เบอร์โนฟได้รวบรวบประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในภาษาสันสกฤต  ส่วนด้านการศึกษาภาษาบาลีเริ่มดำเนินการโดยฟาอุสฟอลล์ ผู้ที่จัดพิมพ์ “ธรรมบท” โดยแปลเป็นภาษาลาตินฉบับแปลภาษาอังกฤษของเขาคือสุตตะ-นิพาตะ (Sutta-Nipata) จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. 2424 (1881)ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของฟาอุสฟอลล์คือการแปลชาดก  พิมพ์ออกมา 6 ชุดระหว่างปี พ.ศ. 2420-2440 (1877-1897) เฮอร์มานน์ โอลเดนเบอร์ก เป็นนักอินโดวิทยาที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่ง เขาได้แปลวินัยปิฎก (วินัยสำหรับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา)เ ป็นภาษาอังกฤษจากปีพ.ศ. 2422-2426 (1879-1883)นอกจากนั้นยังแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกคือปาฏิโมกข์,มหาวัคค์และจุลวัคค์ ในการทำงานร่วมกับริดส์ เดวิดส์ปรากฏออกมาในชุดที่ 8,9,และ10 ในหนังสือความลับแห่งเอเชีย (Sacred Books of the East )ระหว่างปี พ.ศ. 2424-2428 (1881-85)  ริดส์ เดวิดส์เป็นนักวิชาการด้านภาษาบาลี เขาศึกษาภาษาบาลีที่ศรีลังกา เพราะเคยรับราชการเป็นนักประชากรศาสตร์ที่นั่น ในปี พ.ศ. 2422 (1879) เขาได้จัดพิมพ์นิทานกถา (เรื่องราวของการกำเนิดขึ้นของพระพุทธศาสนา) เป็นภาษาอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2424 (1881) เขาได้ก่อตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) ขึ้นที่กรุงลอนดอน ภายใต้การอุปถัมภ์ของสมาคมนี้ นายและนางริดส์ เดวิดส์ได้ให้บริการแก่เสรีชนเพื่อการศึกษาภาษาบาลีและพระพุทธศาสนา ริดส์ เดวิดส์ ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการเอง ตรวจสอบแก้ไขและจัดพิมพ์ตำราเช่นฑีฆนิกาย พ.ศ.2432 (1889),อภิธัมมัตถสังคหะ พ.ศ. 2427 (1884) ทาฐวังสะ (Dathavansa) พ.ศ.2427 (1884) และหนังสือคู่มือพระโยคาวจร 2439 (1896) และยังแปลมิลินทปัญหาและฑีฆนิกายไว้ด้วย
             งานวิจัยของนักสำรวจ นักโบราณคดีและนักวิชาการเหล่านี้  ช่วยก่อให้เกิดการตื่นตัวขึ้นใหม่ในหมู่ประชาชน แต่ยังไม่มีใครทำการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียอย่างจริงจัง ในปี พ.ศ.2428 (1885)เซอร์เอ็ดวิน อาร์โนลด์ นักเขียนผู้มีผลงานระดับโลกที่เขียนหนังสือ “Light of Asia : ประทีปแห่งทวีปเอเชีย”ได้มาเยือนพุทธคยา ต้องตกใจที่ได้เห็นสภาพอันน่าเศร้าใจของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญยิ่งของชาวพุทธ เขาจึงเขียนบทความเกี่ยวกับพุทธคยาขึ้นเมื่อได้รับการตีพิมพ์ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของชาวพุทธในสภาพที่น่าสงสารของวัดมหาโพธิ์และกระตุ้นให้ชาวพุทธหันมาฟื้นฟูสภาพวัดมหาโพธิ์หรือพุทธคยาให้พ้นจากความเสื่อมโทรมและเรียกความศักดิ์สิทธิ์คืนกลับมาสู่ชาวพุทธอีกครั้ง


พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
แปลจาก D.C. Ahir,Buddhism in  Modern India,New Delhi:Kiram Mudram Kendra,1991. 
แก้ไขปรับปรุง 21/01/54

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก