ดร.วังยัลเล่าต่อว่า “กษัตริย์ซองต์เซน กัมโป ของทิเบตมีพระมเหสี 2 พระองค์คือ เจ้าหญิง เวน เชงหรือบุ้นเช้งจากจีน และเจ้าหญิงภฤกฏเทวี จากเนปาล พระมเหสีทั้งสองเป็นพุทธศาสนิกชนได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้าไปด้วย ดังนั้นในยุคแรกพระพุทธศาสนาในทิเบตจึงเป็นการผสมระหว่างมหายายแบบจีน เนปาล และไสยศาสตร์ของทิเบต”
ผู้ที่วางรากฐานของพระพุทธศาสนาในทิเบต คือท่านปัทมะสัมภาวหรือคุรุปัทมสัมภวะ(Padmasambhava) กับ ท่านศัณฑะรักขิต(สังฆรักขิต) ภิกษุจากแคว้นแคชเมียร์ ประมาณพุทธศักราช 1308-1363) ได้สร้างวัดแรกขึ้นชื่อวัดซัมเย การเผยแผ่พุทธศาสนาในยุคแรกเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เพราะถูกผู้นิยมในศาสนาเก่าคือศาสนาบอนคอยขัดขวาง แต่มีพระทิเบตจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาทั้งจากจีนและอินเดียมีการแปลคัมภีร์เป็นภาษาทิเบตเป็นจำนวนมากทำให้คำสอนของพระพุทธศาสนาแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 เรื่อยมา พระพุทธศาสนาในทิเบตมีความเจริญและแตกเป็นนิกายต่าง ๆ 4 นิกาย คือ
1. นิกายญิงมาปะ (Rnin-ma-pa ) ให้กำเนิดโดยท่านคุรุปัทมะสัมภวะ ภิกษุชาวแค็ซเมียร์ กษัตริย์ตริซอง เด็ทเซ็น ได้อาราธนาไปวางรากฐานพระพุทธศาสนาในทิเบต ระหว่างพุทธศักราช (1308-1363) ท่านได้ตั้งคณะสงฆ์ชาวทิเบตขึ้น มีการแปลพุทธธรรมและบทบัญญัติต่างๆเป็นภาษาทิเบต เมื่อท่านมรณภาพแล้วได้มีคณาจารย์สืบต่อกันเรื่อยมา เป็นพุทธศาสนาแบบตันตระ (Tantra) สวมหมวกแดง เครื่องแต่งกายสีแดง
2. นิกายการยุดปะ ((Bka-rgyud-pa) ก่อตั้งโดยท่านนาโรปะ ( Naropa พ.ศ.1555-1642 ) ภิกษุชาวอินเดีย นิกายนี้นิยมสีขาวในการประกอบพิธีบางครั้งพระจะห่มผ้าสีขาว กำแพงวัด วิหารล้วนนิยมสีขาว จึงมักนิยมเรียกนิกายนี้ว่า นิกายขาว (White Sect) พระในนิกายนี้ที่โด่งดังมากที่สุดรูปหนึ่งคือท่านมิราเลปะ (Milarepa) ผู้ประพันธ์ A Hundred Thousand Songs) ซึ่งบางตอนของบทเพลงตามนี้ ร. บุญโญรส ได้ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยในชื่อ ธรรมคีตาของมิลาเรปะ
3. นิกายศากยะ (Sa-skya-pa) ก่อตั้งโดยท่านอติษะ (Atisa พ.ศ. 1536-1593) ชาวอินเดีย นิกายนี้มีความเชื่อว่าสัจธรรมของพระโพธิสัตว์สามารถจะบรรลุได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาตามลำดับขั้น ต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัดและหมั่นศึกษาพุทธธรรมอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังเน้นที่การประสานงานระหว่างอาจารย์ลูกศิษย์สัจธรรมจนกลายเป็นหนึ่งเดียว
4. เกลุกปะ (Dge-lugs-pa) ก่อตั้งโดยท่านซองขะปะ (Tson kha-pa พ.ศ. 1890-1962)ภิกษุชาวทิเบต ซึ่งปฏิรูปมาจากคำสอนของท่านอติษะ แห่งนิกายศากยะ เมื่อเริ่มก่อตั้งเรียกว่าคาแดมปะ (Kha-dam-pa) ซึ่งเน้นหนักที่มายาศาสตร์ ท่านซองขะปะนักบุญชาวทิเบตได้ปฏิรูปนิกายนี้เสียใหม่ โดยเน้นที่ความเป็นเลิศทางศีลธรรมและสติปัญญา พระในนิกายนี้นิยมเรียกว่าพระหมวกเหลือง (เกี่ยวกับการจำแนกนิกายในทิเบต ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก Buddhism in Tibet โดย Donald S. Lopez, Jr. รวมพิมพ์ใน Companion Encyclopedia of Asian Philosophy พิมพ์ในปีคริสตศักราช 1997)
ผู้เขียนไม่แปลกใจว่าทำไมทิเบตจึงยอมรับพระพุทธศาสนานิกายตันตระก่อนนิกายอื่น เพราะนิกายตันตระ ออสติน แวดเดล (Austin Waddel ) ได้อธิบายตันตระไว้ในหนังสือพุทธศาสนาประวัติระหว่าง 2500 ปีที่ล่วงแล้วหน้า 251 ว่า “ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากลัทธิพุทธ ผีสางเทวดา” ลักษณะพิเศษของตันตระคือเชื่อในเทพเจ้าและเทพี ชาวตันตระเชื่อว่าด้วยความโปรดปรานของเทพเจ้าจะทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุ “สิทธิ” หรือความสำเร็จได้ ซึ่งความเชื่อแบบนี้สอดคล้องกับความเชื่อดังเดิมของชาวทิเบตคือความเชื่อในอำนาจของเทพเจ้า ชาวทิเบตรับเอาพุทธศาสนานิกายตันนตระเพราะตรงกับความเชื่อแบบดั้งเดิมของพวกเขา เป็นการเสริมพลังอำนาจให้เข้าใกล้ตัวเทพเจ้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นตันตระซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อชาวทิเบตตลอดมา
นิกายที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือนิกายเกลุกปะ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2086 ผู้นำชาวมองโกลชื่อ อัลตานข่าน (Altan Khan) ได้มองเห็นความสำคัญของลามะในนิกายเกลุกปะ จึงได้สถาปนาผู้นำนิกาย เกลุกปะ ชื่อสอดนัมยาโส ประมุขสงฆ์องค์ที่ 3 ขึ้นเป็นดาไลลามะ แต่ให้มีผลย้อนหลังไปยังประมุขสงฆ์องค์ที่ 1คือเกดัน ทรัปปะ ดังนั้นคำว่า “ดาไลลามะ”(Dalai Lamas) จึงเริ่มต้นในปี 2121 และสืบต่ออำนาจเรื่อยมา ดาไลลามะที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือองค์ที่ 5 พระนามว่า งาวัง โลซัง กยัตโส มีอายุระหว่างพ.ศ. 2158-2223 พระองค์เป็นทั้งนักปราชญ์และนักปกครอง ได้ทรงรวบรวมประเทศทิเบตให้เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งกษัตริย์มองโกล ซึ่งมีอำนาจปกครองทิเบตในขณะนั้น ได้มอบอำนาจให้ดาไลลามะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองทิเบตอย่างเด็ดขาดทั้งฝ่ายราชอาณาจักรและศาสนจักร ทิเตจึงถือเป็นปีระเพณีสืบต่อกันมาว่า ดาไลลามะคือผู้ปกครองประเทศที่มีอำนาจสูง (การสถาปนาลามะ ความเป็นไปของคณะสงฆ์ในทิเบต ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จาก The Tibet : The Rise and Fall of a Monastic Tradition โดย Per Kvaerne รวมพิมพ์ใน World of Buddhism พิมพ์ในปี ค.ศ. 1984)
ปัจจุบันทิเบต มีดาไลลามะองค์ที่ 14 มีพระนามว่าจัมเฟล ลอบซัง เยเซ เท็นซิน กยัตโส (ชื่อเดิมคือลาโม ทอนดุป ลูกชายชาวนาแห่งหมู่บ้านตักเซอร์ แคว้นอัมโด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชายแดนระหว่างทิเบตกับจีน ทิเบตมีนายกรัฐมนตรี 2 ตำแหน่งคือลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และนายกรัฐมนตรีฆราวาสเป็นผู้นำทางการเมือง ส่วนดาไลลามะเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่ตัวเองต้องลี้ภัยในการเมือง มีรัฐบาลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศของตน แต่ที่ทำการรัฐบาลตั้งอยู่ในเมืองธรรมศาลาหรือธรัมศาลา (Dharamsala ) ประเทศอินเดีย ในปี 2532 พระองค์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วย มีเพียงประเทศเดียวในโลกที่ประมุขของประเทศเป็นพระสงฆ์คือดาไลลามะแห่งทิเบต