สร้างเจดีย์กันทำไม
บัดนี้เรากำลังท่องอยู่ในยุคอาณาจักรพันปี แต่ก็ยังมีหลักฐานคือหมู่เจดีย์ต่างๆให้ศึกษาถึงความยิ่งใหญ่และความเลื่อมใสศรัทธาอันเกิดจากพระพุทธศาสนา ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์เสียจริง ปัจจุบันยังมีเกวียนเทียมโคและรถม้าให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีก ในโลกยุคอินเตอร์เน็ตแทบจะไม่เคยคาดคิดว่าจะยังมีโลกอย่างนี้ให้เห็น
ในเรื่องของประวัติศาสตร์พอหาอ่านกันได้ แต่การสร้างเจดีย์ถึงห้าพันองค์นั้นมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ วัตถุประสงค์ในการสร้างเจดีย์ในพุกามนั้นไพโรจน์ โพธิ์ไทรได้สรุปไว้น่าสนใจว่า “กษัตริย์ในราชวงศ์พุกามทรงมีนิสัยตรงกันอย่างหนึ่งคือทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ดูๆก็ทรงฝักใฝ่ในทางศาสนากันแทบทุกพระองค์ แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งบางองค์ก็ทรงมีพระประสงค์แตกต่างกันไปเช่นอย่างพระเจ้านรธูนั้นเหตุที่ทรงสร้างวัดสร้างโบสถ์ก็เพื่อเป็นการไถ่บาป เพราะพระองค์ทรงทำบาปไว้มากเช่นทรงทำปิตุฆาต วางแผนปลงพระชนม์พระเชษฐาด้วยเหตุหวังสมบัติ และทรงหลอกลวงพระมหาเถรปันธากูให้ไปลวงพระเชษฐามาฆ่า(ไพโรจน์ โพธิ์ไทร,ภูมิหลังของพม่า,กรุงเทพฯ:โอเดียนร์สโตร์,2518,หน้า 56)
เราได้เห็นศิลปะเจดีย์ในอดีตจากพุกาม แต่ก็ยังอธิบายตามหลักวิชาไม่ได้เพราะไม่ได้ศึกษามาทางนี้ แต่มีคำตอบจากศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้แบ่งศิลปะพม่าออกเป็น 5 ยุคคือ
1.ศิลปะปยุหรือพยู ราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 เมืองสำคัญคือเมืองไบก์ถาโน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางเมืองอาลิน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและเมืองศรีเกษตร หรือถะเยขิตตะยะ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองแปรใต้เมืองไบก์ถาโน
2. ศิลปะมอญ ได้แก่เมืองสุธัมมวดีหรือสะเทิมหรือถะทน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ใกล้ปากแม่น้ำอิระวดี ส่วนเมืองหงสาวดีหรือพะโคนั้นสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14
3.ศิลปะพม่าที่เมืองพุกาม พุทธศตวรรษที่ 16-18 อาจแบ่งได้เป็นสองแบบต่อเนื่องกันคือ (1) อิทธพลของศิลปะมอญ (2) ศิลปะพม่าอย่างแท้จริง กองทัพมองโกลแห่งประเทศจีนตีเมืองพุกามได้ใน พ.ศ. 1830
4. ศิลปะสมัยเมืองอังวะหรือรัตนปุระ พุทธศตวรรษที่ 22-24
5.ศิลปะสมัยหลังคือสมัยเมืองอมรปุระและมัณฑะเลย์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 จนถึงสมัยปัจจุบัน
เมืองต่างๆเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศพม่ายกเว้นเมืองสะเทิม (ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล,ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง(พิมพ์ครั้งที่ 5),กรุงเทพฯ:มติชน,2549,หน้า 299)
ดังนั้นหากจะศึกษาศิลปวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนานอกจากอินเดียอันเป็นต้นกำเนิดแล้ว ในยุคหลังพุทธกาลก็ต้องไม่ลืมผนวกเอาอาณาจักรขอม มอญและพุกามเข้าไว้ด้วย
ศิลปะเมืองพุกามเจริญรุ่งเรืองตามราชวงศ์พุกามถึง 243 ปี คาบเกี่ยวกับสมัยสุโขทัย จนกระทั่งเมื่อพุกามเสื่อมลงอาณาจักรสุโขทัยก็รุ่งเรือง เราจึงได้เห็นเจดีย์และพระพุทธศาสนาเถรวาทเกิดขึ้นในประเทศไทยสืบต่อมา แต่ทว่าเจดีย์ในเมืองไทยนั้นมีลักษณะที่แตกต่างไปบ้างจากเจดีย์ในพุกาม และไม่มีจำนวนมหาศาลขนาดที่เรียกว่าทะเลแห่งเจดีย์เหมือนในอาณาจักรพุกาม
พุกามนั้นมองไปทางไหนเจอแต่เจดีย์ทั้งเล็กใหญ่ลดหลั่นสลับกันไปกินอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนสุดลูกตา มีคนเคยนับจำนวนเจดีย์ไว้ว่าน่ามีจำนวนเป็นหมื่นองค์ ไม่ทราบว่าพม่าสร้างเจดีย์ไว้ทำไม หลวงวิจิตวาทการเคยบอกไว้ในฟากฟ้าสาละวินว่า “พม่าไม่ได้สร้างเจดีย์แต่เฉพาะที่วัด เขาสร้างทุกหนทุกแห่ง การสร้างเจดีย์เป็นเครื่องหมายแห่งความมั่งคั่งมีหลักฐาน เป็นเครื่องหมายของเกียรติยศ (หลวงวิจิตวาทการ, ฟากฟ้าสาละวิน,กรุงเทพฯ:สร้างสรรค์บุ๊ค,หน้า 35)
ในขณะที่คนไทยที่มีฐานะมักจะสร้างศาลาการเปรียญหรือพระอุโบสถหรือพระพุทธรูป ดังนั้นพระอุโบสถของไทยจึงงดงาม ในขณะที่พม่าสร้างเจดีย์ ภายในเจดีย์มักจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ มีที่จุดเทียนธูปบูชา สามารถนั่งพักผ่อนหรือปฏิบัติกรรมฐานได้ ภายในเจดีย์บางแห่งจะมีพระภิกษุกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร ถ้าภิกษุรูปใดต้องการปลีกวิเวกอยู่ตามเจดีย์ต่างๆในพุกามของหาตัวไม่พบ พม่าสร้างเจดีย์ประดับเกียรติยศข้อนี้ฟังขึ้น เพราะกษัตริย์พุกามเองก็นิยมสร้างเจดีย์ประจำรัชกาล พระมหากษัตริย์ไทยสร้างวัดและพระพุทธรูปประจำรัชกาล เมืองไทยจึงมีพระพุทธรูปมากมาย
เท้ายืนบนพื้นอย่างเข้มแข็งแต่วิญญาณมุ่งตรงสู่สวรรค์
กษัตริย์ในราชวงศ์พุกามมีความเชื่อในการสร้างเจดีย์นั้นมีหลักฐานดังเช่น พระเจ้าอลองสิทธูทรงมีชื่อเสียงว่าเป็นกษัตริย์ใจบุญ ดังจะเห็นได้จากจารึกร้อยกรองภาษาบาลีที่ปรากฏในศาสนสถานที่งดงามที่สุดที่ทรงสร้างเช่นเจดีย์ชเวกุกยีเป็นต้น จารึกนั้นสรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในพุทธประวัติและคำสอนของพระองค์ และกล่าวต่อไปถึงพระประสงค์ของกษัตริย์ว่า “การสร้างเจดีย์ย่อมได้บุญมาก แต่หากมีโอกาสเลือกผลบุญได้ ข้าฯย่อมไม่เลือกผลบุญเป็นส่วนตัว แต่จะแผ่ส่วนบุญให้ทุกชีวิต ข้าฯไม่ปารถนาจะเกิดเป็นพราหมณ์ เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นวีรบุรุษ หรือข้าฯขะต้องการเกิดใหม่เป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจก็หาไม่ ข้าฯไม่สวดวิงวอนแม้แต่ขอให้เป็นพระอรหันต์ ข้าฯปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อข้าฯปรารถนาจะสร้างบารมีให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อช่วยดึงมนุษยชาติที่กำลังเสื่อมให้รอดพ้นขึ้นมาและนำเขาเหล่านั้นไปยังนครแห่งความสงบชั่วนิรันดร์” (หม่องทินอ่อง,หน้า 46)
แม้แต่พระเจ้าอโนรธาก็ทรงสร้างเจดีย์ใหญ่ๆถึงสี่แห่งคือเจดีย์ชเวสิกอง เจดีย์ชเวซันดอ เจดีย์โลกนันทะ เจดีย์มยินกบา (Paul Strachan,Pagan,Scotland:Kiscadale,1990 p.42) ถ้ากษัตริย์แต่ละพระองค์สร้างเจดีย์เพียงพระองค์ละห้าเจดีย์ก็เกือบร้อยแล้ว รวมกับข้าราชชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า คฤหบดีอีกก็น่าจะเป็นเจดีย์นับพันองค์แล้ว
ภายในเจดีย์โดยทั่วไปนั้นมักจะมีเสาปูนใหญ่เสาหนึ่งอยู่ตรงกลางเป็นที่รับน้ำหนักยอดเจดีย์ ทั้งสี่ด้านของเสานี้มีพระพุทธรูปใหญ่ตั้งหันหลังชนกัน มีระเบียงสี่ด้านมุ่งมาสู่ห้องนี้ ฝาผนังทุกด้านประดับด้วยภาพเขียนที่มีสีสันสดใสลายดอกไม้ เทพบุตร เทพธิดา และภาพพุทธประวัติ ตลอดจนชาดกต่างๆ บางครั้งก็มีภาพต่างๆของพระพุทธเจ้า จารึกอันหนึ่งกล่าวไว้ว่า มีภาพพระพุทธเจ้าประมาณ 14619 ภาพ วาดไว้บนกำแพงวัด มีที่เก็บอัฏฐิใต้ฐานเจดีย์รูปทึบ และตรงกลางในเจดีย์แบบกลวง ช่องเหล่านั้นปิดตายก่อนสร้างเจดีย์เสร็จ ในหอพระธาตุมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระพุทธรูปเล็กๆ เป็นทอง เงิน งาช้าง แก้วและมณีมีค่าทั้งหลาย ทั้งสถูปและเจดีย์ตั้งบนฐานเตี้ยๆ ที่มั่นคง และปลายยอดแหลมทำให้เจดีย์แลเสมือนพุ่งไปสู่ท้องฟ้า ดังนั้นเจดีย์แต่ละแห่งแสดงลักษณะของชาวพุกามคือเท้ายืนบนพื้นอย่างเข้มแข็งแต่วิญญาณมุ่งตรงสู่สวรรค์ (หน้า 58) เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะชาติก่อนทำบุญมาน้อยจึงต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ชาตินี้ไม่เป็นไร แต่ชาติต่อไปขอเกิดในที่ที่ดีกว่า จึงเป็นหลักปรัชญาในการมองไปข้างหน้ามากกว่าที่จะมองย้อนไปในอดีต
การสร้างวัดและเจดีย์ในยุคแรกเกิดจากศรัทธาซึ่งแตกต่างจากการสร้างปราสาทในนครวัดที่เกิดจากพระราชอำนาจหม่อยงทินอ่องยืนยันไว้ว่า “วัดต่างๆในพุกามนั้นมิได้เกณฑ์แรงงานคนมาสร้าง เป็นศรัทธาที่บริสุทธิ์และสามัญง่ายๆ และเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วก็อุทิศเป็นสมบัติสาธารณะ ผู้สร้างมักดูแลให้คนงานได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่ดี เพราะความสำเร็จในการสร้างขึ้นอยู่กับคนงานเหล่านั้น วัดต่างๆอาจสร้างโดยสมาคมซึ่งทุกคนมีเสรีภาพและเสมอภาคทั่วกัน (หน้า 58) แต่วัดที่เกณฑ์คนมาสร้างก็มีเช่นสมัยพระเจ้านรสุขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงให้สร้างเจดีย์ใหญ่นามว่าธัมมยังจี โดยการเกณฑ์ประชนมาสร้าง ซึ่งนับว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่า
ขอมเกณฑ์คนมาสร้างปราสาทหิน แต่พุกามสร้างเจดีย์ด้วยพลังศรัทธา