ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai


            เมื่อถามถึงวิถีแห่งศรัทธาและการปฏิบัติของชาวพุทธที่นี่ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า “ก็อย่างที่ท่านมหาเห็นนี่แหละ พวกเขาจะมาชุมนุมกันทุกวันอาทิตย์ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่โอกาส ถ้าอยู่รูปเดียวผมก็เหนื่อยหน่อย เพราะต้องคอยต้อนรับ คอยอธิบายธรรมะ แต่พอมีพระอินเดียมาอยู่ด้วยก็แบ่งเบาภาระไปมาก อาทิตย์หนึ่งมีครั้งเดียว จึงพออดพอทนได้”
           เมื่อถามถึงกิจนิมนต์ท่านบอกว่ามีอยู่เรื่อยๆ โชคดีที่วันรุ่งขึ้นมีงานนิมนต์ครบรอบวันเสียชีวิตของอดีตนายากสมาคมชาวพุทธคนก่อน ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้สัมผัสกับพิธีทำบุญในครั้งนี้ด้วย เมื่อถึงเวลาเจ้าภาพจะนำรถมารับ ไปถึงบ้านพิธีกรนำไหว้พระ รับศีล และถวายอาหาร เมื่อพระฉันเสร็จจึงมีพิธีสวดมนต์ ซึ่งวันนั้นเริ่มต้นด้วยนโม…กรณียเมตสูตร, พาหุงและชยันโต สัพพีและจบด้วยภวตุ สัพพมังคลัง….ฯ ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เสร็จพิธี ท่านมหาชัยณรงค์เล่าให้ฟังว่าพิธีกรรมขึ้นอยู่กับเรา ดังนั้นวันนั้นจึงออกกลิ่นไอของสังคมไทยไปโดยปริยาย และมีการถวายปัจจัยมากเป็นพิเศษรูปละ 500 รูปี ท่านมหาชัยณรงค์บอกว่า “ตั้งแต่ผมอยู่ที่ก็มีครั้งนี้ครั้งแรกที่ถวายปัจจัยมากที่สุด ส่วนมากจะถวายแค่ 100 รูปีหรือ 200 รูปีเท่านั้น” 

              ในส่วนของ ดร. บี.อาร์ เอ็มเบ็ดการ์ ที่จันทิการ์ รัฐปัญจาบ แม้จะเป็นเมืองที่ประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาซิกซ์ แต่สมาคม ดร. เอ็มเบ็ดการ์ ก็ได้สร้างวัดขึ้น โดยใช้ชื่อว่าเอ็มเบ็ดการ์วิหาร มีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ แวดล้อมไปด้วยวัดฮินดู วัดซิกซ์ วัดอิสลาม ปัจจุบัน(2544) มีสามเณรแก่รูปหนึ่งเฝ้าดูแลรักษาวิหารแห่งนี้ ความจริงคือสามเณรอายุมากแล้วประมาณ 60 ปี แต่แขนขาพิการบางส่วน จึงบรรพชาเป็นสามเณร วันหนึ่งสมาคมชาวพุทธเอ็มเบ็ดการ์ได้จัดงานและได้นิมนต์พระสงฆ์ไปร่วมพิธี ท่านมหาชัยณรงค์ติดภารกิจ ผู้เขียนจึงเป็นพระภิกษุรูปเดียวที่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ เมื่อไปถึงบริเวณงานที่จัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ มีชาวพุทธเข้าร่วมงานประมาณ 100 คน มีโต๊ะหมู่บูชา มีพระพุทธรูปและรูปของ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยการสมาทานศีล ถวายอาหาร                  
           หลังเสร็จจากการฉันอาหาร ก็จะมีการอภิปราย สนทนาธรรมภายในห้องโถงนั่นเอง พวกเขาจะสนทนากันเอง คุยกันเอง โดยผู้เขียนเป็นคนนั่งฟังแต่ฟังไม่รู้เรื่อง มีโยมคนหนึ่งพยายามสอบถามถึงพระพุทธศาสนาในเมืองไทย และคำถามที่สำคัญอย่างหนึ่งคือหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคืออะไร ผู้เขียนตอบว่า “นิพพาน”
            เมื่อเขาถามว่ามีวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะไปถึงนิพพานไหม และจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม ผู้เขียนจึงหาทางออกโดยบอกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น มีอยู่ในหนังสือ “พระพุทธเจ้าและธรรมะของพระองค์ ที่ดร. เอ็มเบ็ดการ์ เขียนไว้ ในวันที่เป็นวันที่ระลึกถึงดร. เอ็มเบ็ดการ์ จึงสมควรที่จะนำหนังสือของท่านมาอ่านสู่กันฟัง เราจะได้ประโยชน์สองประการคือได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า และได้ระลึก ดร. เอ็มเบ็ดการ์ไปพร้อมๆกัน” เมื่อทุกคนเห็นด้วยผู้เขียนจึงต้องใช้ขันติธรรมนั่งฟังภาษาฮินดีที่ไม่รู้เรื่องเป็นเวลายาวนานถึง 2 ชั่วโมงเต็ม
            เมื่อศึกษาจากตำราภายหลังจึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าชาวพุทธในอินเดียมีถึงสามกลุ่มคือ(1) กลุ่มที่เป็นชาวพุทธดั้งเดิมได้แก่ตระกูลบาร์รัว เป็นกลุ่มชาวพุทธที่มีการรวมตัวกันแน่นแฟ้นที่สุด และเข้าใจธรรมปฏิบัติและพธีกรรมของพระพุทธศาสนาดีที่สุด แต่มีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของอินเดีย สกุลบาร์รัวส่วนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศบังคลาเทศ (2) ชาวพุทธที่เปลี่ยนศาสนาใหม่ตามดร. บี อาร์ เอ็มเบ็ดการ์ ส่วนมากมักมาวรรณะศูทรและจัณทาล จึงไม่ค่อยมีอิทธิพลมากนัก มาโนช ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผู้เขียนพบปะสนทนาด้วยที่เมืองเดลี บอกกับผู้เขียนว่า “พ่อแม่ผมเป็นชาวพุทธที่เปลี่ยนศาสนาพร้อมกับ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ ย้ายมาจากเมืองนาคปูร์ แต่ท่านก็ยังกราบไหว้หมุมาณ,พระศิวะและเจ้าแม่ทุรคาอยู่ ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนามีหลักปฏิบัติอย่างไร                  

           คำสอนที่พ่อแม่ผมสอนคือการมีเมตตากรุณา ผมเห็นพระภิกษุจากศรีลังกา,พม่า,ธิเบต,จีน,เวียตนามและประเทศไทย แต่ทำไมจึงปฏิบัติแตกต่างกันมาก และผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าหลักคำสอนจริงๆคืออะไร ปัจจุบันผมกำลังศึกษาศาสนาคริสต์ ซึ่งผมได้ประโยชน์มากเพราะได้เรียนภาษาอังกฤษฟรี ผมกำลังจะเปลียนไปนับถือศาสนาคริสต์แต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ กลุ่มพวกผมเป็นคนหนุ่มมีประมาณ 40 คน เวลาเรียนต้องแอบเรียนเพราะกลัวพ่อแม่รู้”                  
           เมื่อผู้เขียนอธิบายจุดมุ่งหมายที่สูงสุดของพระพุทธศาสนาคือนิพพานให้ฟัง มาโนชกลับตอบว่า “ผมยังอยากกลับมาเกิดอีก ถ้าเป็นไปได้อยากเกิดในวรรณะพราหมณ์ จะได้มีโอกาสเรียนหนังสือสูงๆ ปัจจุบันพวกผมเหมือนคนชั้นต่ำในสังคม”มาโนชและเพื่อนๆ มีบ้านพักอยู่ชานเมืองเดลี ริมฝั่งแม่น้ำยุมนา เป็นที่พักย่านคนจน ผู้เขียนเคยแวะไปเยี่ยมพ่อแม่ของมาโนช                  
           เมื่อเห็นว่าผู้เขียนเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พวกเขาต้อนรับอย่างดีจัดหาน้ำชา ภาษาฮินดีเรียกว่าไจ (เป็นชาผสมนม) ออกมาต้อนรับและแสดงความเคารพด้วยความนอบน้อมและอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง และพยายามถามถึงหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา โดยมีมาโนชเป็นล่าม ผู้เขียนจึงอธิบายทาน ศีล ภาวนาให้ฟัง เมื่ออธิบายจบพวกเขารำพึงเบาๆ ว่า “ศีลและภาวนาพอปฏิบัติได้ แต่ทานคงทำได้ยากเพราะพวกฉันก็ไม่ค่อยจะมีกินเหมือนกัน” (3) ชาวพุทธใหม่ที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาจากประเทศอื่นเช่นศรีลังกา ธิเบต ไทย เป็นต้น ส่วนมากจะอุปสมบทตามพุทธศาสนาแบบศรีลังกาและพม่า ส่วนที่อุปสมบทตามแบบไทยมีน้อยมาก 
           พระภิกษุชาวอินเดียท่านหนึ่งมาจากรัฐอัสสัมชื่อ ชโยติ อภโยภิกขุ ปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดลีบอกผู้เขียนว่า “ผมเป็นคนไท บรรพบุรุษผมเป็นคนไท ผมจึงเป็นคนอินเดียเชื้อชาติไท อุปสมบทตามนิกายแบบไทย ซึ่งถอดแบบมาจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพ การปฏิบัติทุกอย่างยึดถือตามปฏิปทาของพระไทยทั้งหมด ดังนั้นที่รัฐอัสสัมจึงมีพระภิกษุจากนิกายมหานิกายของไทย ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200 รูป             

                พระพุทธศาสนาแบบไทยคงเจริญในอินเดียยาก เพราะหลักวินัยเคร่งครัดเกินไป ไม่เหมาะกับสังคมอินเดีย ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อบวชนานๆจนกลายเป็นพระเถระมักจะถูกฮินดูซื้อตัวโดยให้รับราชการในตำแหน่งที่สำคัญๆ ดังนั้นพระเถระส่วนมากในอัสสัมจึงลาสิกขาไปรับราชการเป็นส่วนมาก แม้แต่ผมเองก็ได้รับการทาบทามให้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญเหมือนกัน แต่ผมยังเรียนไม่จบและยังรักพุทธศาสนา คิดว่าจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ                  
           ปัจจุบันผมก็เป็นเลขานุการของสมาคมหนุ่มสาวชาวพุทธในอัสสัมอยู่ เรียนจบเมื่อไรค่อยคิดอีกที” ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านจะอยู่ในศาสนาต่อได้อีกนานเท่าใด การบวชแล้วลาสิกขาได้ของพระไทย อาจจะเหมาะกับสังคมไทย แต่ไม่เหมาะกับสังคมอินเดีย เพราะชาวอินเดียถือว่าผู้ที่บวชแล้วไม่ควรลาสิกขา เหมือนพระพม่าและพระศรีลังกา ส่วนประเด็นที่ท่านอภโยบอกว่าบรรพบุรุษของท่านเป็นคนไทนั้นน่าคิด เพราะถ้าหากท่านพูดภาษาไทย ทุกคนต้องคิดว่าท่านเป็นคนไทยอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ผู้เขียนเองคนอินเดียยังคิดว่าเป็นคนอัสสัมหรือนาคแลนด์ 
           การกลับมาของพระพุทธศาสนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2434 โดยการฟื้นฟูของอนาคาริกธรรมปาละ และการตื่นตัวของชาวพุทธใหม่โดยการนำของ ดร. บี.อาร์ เอ็มเบ็ดการ์ในปีพุทธศักราช 2500 ยังไม่อาจจะเชื่อได้ว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นในสังคมอินเดียอย่างถาวรแล้ว เพราะการกลับมาครั้งนี้เป็นการกลับมาที่มีความแตกต่างทางความเชื่อ           

          พระภิกษุที่เข้ามาในอินเดียมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นพระธิเบต,พระจีน,พระเวียตนาม,เกาหลีเป็นต้น ซึ่งเป็นนิกายฝ่ายมหายาน และพระศรีลังกา,พระไทย,พระพม่า ซึ่งเป็นนิกายฝ่ายเถรวาท ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนพระอินเดียยังไม่แน่ใจว่านิกายฝ่ายไหนที่เหมาะกับอินเดีย เพราะชาวอินเดียเองบวชทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท ดังนั้นในพระพุทธศาสนาในอินเดียปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความเหมือนที่แตกต่าง คือเป็นพระพุทธศาสนาเหมือนกันแต่มีหลายนิกายนั่นเอง

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
13/09/53

ภาพประกอบ ผศ.ดร.ธวัช  หอมทวนลม

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก