การจะเป็นผู้นำบริหารบ้านเมืองได้จะต้องเป็นคนมีบารมี บางคนมีเงินแต่ไม่มีบารมี บางคนมีบารมีแต่ไม่ค่อยมีเงิน คนที่มีทั้งบารมีและมีเงินจึงหายาก ครั้งหนึ่งมีการกล่าวถึง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เลยทำให้การพัฒนาบ้านเมืองมีปัญหา เพราะคนไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็มีการวิเคราะห์ตีความของคำว่า “ผู้มีบารมี” ปัจจุบันมีคนตีความคำว่า “บารมี” ไปในหลายความหมาย ใครคือผู้มีบารมีอย่างแท้จริง ในพระพุทธศาสนาได้แสดงบารมีและผู้มีบารมีไว้อย่างไร
คงเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้านั้นได้บำเพ็ญบารมีสี่อสงไขยแสนกัปจึงสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศาสดาของพระพุทธศาสนา “สี่แสนอสงไขยแสนกัปป์” นี่มันนานเท่าไหร่กันแน่ อสังข แปลว่าไม่ได้กำหนด ไม่ได้นัดหมาย อสังเขยย แปลว่านับหรือคำนวณไม่ได้ ส่วนคำว่า “กัป” หมายถึงอายุของโลก ยุค สรุปว่าหนึ่งกัปป์คือโลกแตกสลายหนึ่งครั้ง ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงบำเพ็ญบารมียาวนานนับไม่ได้สี่ครั้ง เวียนว่ายตายเกิดในโลกจนโลกแตกไปสี่ครั้ง ลองนึกดูว่าจะยาวนานขนาดไหน เท่าที่พุทธศาสนิกชนจำได้ก็มีบารมี 10 ทัศน์ เป็นการบำเพ็ญบารมีครั้งสำคัญๆ ชาติสุดท้ายเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร บารมีจึงมิใช่เรื่องที่ได้มาโดยง่าย
ในพระพุทธศาสนา “บารมี” หมายถึงปฏิปทาอันยวดยิ่ง คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวดคือความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษเพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่นความเป็นพระพุทธเจ้าและความเป็นมหาสาวกเป็นต้น (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต, พจนานุกรมพุทธศาสตร์, (พิมพ์ครั้งที่ 10) กรุงเทพ ฯ: เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จำกัด, 2548, หน้า 239)
การเริ่มบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้ามีปรากฎในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยปิฎก (เล่ม 33)และปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททนิกาย จริยาปิฎก ภายหลังจากเริ่มตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนขุททกนิกาย พุทธาปทานและวิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธาปทาน ได้พรรณาประวัติของพระโคตมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังถือกำเนิดเป็นสุเมธดาบสและเริ่มตั้งความปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระทีปังกรพุทธเจ้า พอสรุปความได้ว่า
ในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยกำไรแสนกัปนับแต่ภัทรกัปนี้ไป ได้มีนครหนึ่งนามว่าอมรวดี ในนครนั้น มีพราหมณ์ชื่อสุเมธ อาศัยอยู่เขาศึกษาศิลปะของพราหมณ์ จนเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนต์ได้เรียนจบไตรเพท ถึงความสำเร็จในลักขณศาสตร์ อิติหาสศาสตร์และธรรมเนียมพราหมณ์
ต่อมามารดาบิดาของเขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขายังรุ่นหนุ่ม ต่อมาอำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์ของเขานำเอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องอันเต็ม ด้วยทอง เงิน แก้วมณี และแก้วมุกดาเป็นต้นแล้วบอกให้ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลสุเมธบัณฑิตคิดว่า บิดาและปู่เป็นต้นของเราสะสมทรัพย์นี้ไว้แล้ว เมื่อไปสู่ปรโลกจะถือเอาแม้ทรัพย์ กหาปณะหนึ่งไปด้วยก็หามิได้ แต่เราควรจะทำเหตุที่จะถือเอาทรัพย์ไปให้ได้ ครั้นคิดแล้วเขาจึงกราบทูลแด่พระราชาให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร ให้ทานแก่มหาชนแล้วบวชเป็นดาบส เพราะเกิดความคิดขึ้นว่า “การเกิดในภพใหม่ และการแตกทำลายของสรีระเป็นทุกข์. เรานั้นมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จักแสวงหาพระนิพพาน อันไม่แก่ ไม่ตาย เป็นแดนเกษม ไฉนหนอ เราพึงไม่เยื่อใย ไร้ความต้องการ ละทิ้งร่างกายเน่า ซึ่งเต็มด้วยซากศพนานาชนิดนี้แล้วไปเสีย ทางนั้นมีอยู่และจักมี ทางนั้นไม่อาจเป็นเหตุหามิได้ เราจักแสวงหาทางนั้น เพื่อหลุดพ้นจากภพให้ได้”
สุเมธดาบสมองเห็นความสุขของสมณะที่เรียกว่าสมณสุข 8 ประการจึงได้บวชคือ “ไม่มีการหวงแหนทรัพย์และข้าวเปลือก แสวงหาบิณฑบาตที่ไม่มีโทษ บริโภคบิณฑบาตที่เย็น ไม่มีกิเลสอันเป็นเหตุบีบคั้นชาวรัฐในเมื่อราชสกุลบีบคั้นชาวรัฐถือเอาทรัพย์ที่มีค่าหรือดีบุกและกหาปณะเป็นต้น ปราศจากความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในเครื่องอุปกรณ์ทั้งหลาย ไม่กลัวโจรปล้น ไม่ต้องคลุกคลีกับพระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา ไม่ถูกขัดขวางในทิศทั้งสี่”
วันหนึ่งสุเมธดาบสได้ พิจารณาเห็นเหตุที่เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จได้เพราะประชุมธรรม 8 ประการไว้ได้คือความเป็นมนุษย์ ความถึงพร้อมด้วยเพศ เหตุ การได้เห็นพระศาสดา การได้บรรพชา ความสมบูรณ์ด้วยคุณ การกระทำอันยิ่งใหญ่ ความเป็นผู้ มีฉันทะ เมื่อดำริว่าตนเองมีความพร้อมในการตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพราะมีความพร้อมด้วยธรรม 8 ประการ จึงกระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงนอนลงทอดกายเป็นสะพานเพื่อพระพุทธเจ้าจะได้ก้าวพระบาทผ่านไปโดยเท้าไม่เปื้อนโคลนตม ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรเสด็จมาแล้วทรงยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ 5 ประการ ประหนึ่งว่าเปิดสีหบัญชรแก้วมณี ทรงเห็นสุเมธดาบสนอนอยู่เหนือหลังเปือกตม จึงทรงดำริว่าดาบสนี้กระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้นอนอยู่ ความปรารถนาของดาบสนี้จะสำเร็จหรือไม่หนอ จึงทรงส่งอนาคตังสญาณ ใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่าล่วงสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแต่กัปนี้ไป ดาบสนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ทั้งที่ทรงประทับยืนอยู่นั่นแหละ
ทรงพยากรณ์ในท่ามกลางบริษัทว่า “ท่านทั้งหลายเห็นดาบสผู้มีตบะสูงผู้นี้ซึ่งนอนอยู่บนหลังเปือกตมหรือไม่ ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้นอนอยู่ ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จ ด้วยว่า ในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแต่กัปนี้ไปดาบสนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม, ก็ในอัตภาพนั้น พระนครนามว่ากบิลพัสดุ์จักเป็นที่อยู่อาศัยของเขา พระเทวีพระนามว่ามายาจักเป็นพระมารดา พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะจักเป็นพระบิดา พระเถระนามว่าอุปติสสะจักเป็นพระอัครสาวก พระเถระนามว่าโกลิตะจักเป็นทุติยสาวก พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระเถรีนามว่าเขมาจักเป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณาจักเป็นทุติยสาวิกา ดาบสนี้มีญาณแก่กล้าแล้วจักออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรใหญ่ รับข้าวปายาสที่ควงไม้นิโครธแล้ว บริโภคที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วขึ้นสู่โพธิมัณฑ์ จักตรัสรู้พร้อมเฉพาะที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์”
การจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแสดงว่าได้รับการพยากรณ์ไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศ บิดามารดาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว การพยากรณ์อย่างนี้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะทำได้ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากอนาคตังสญาณหรือญาณมองเห็นอนาคต ท่านแสดงไว้ในขุททกนิกาย อปทานว่า “ก้อนดินที่ขว้างไปในท้องฟ้า ย่อมตกลงในแผ่นดินแน่นอนฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมืนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีพระดำรัสอันไม่เป็นจริง”