ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

 

จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                ผลงานจิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่าจิตรกรรมแบบประเพณีไทยได้พัฒนามาถึงขันที่สมบูรณ์สูงสุด สอดคล้องกับความจริงว่าจิตรกรรมที่เขียนในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเหล้าเจ้าอยู่หัวมีตัวอย่างมากแห่ง  จิตรกรรมที่วาดตามแบบอย่างประเพณีไทยมีสามแบบคือ (1) ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง วาดภาพพุทธประวัติเรียงกันไปจนรอบผนังทั้งสี่ด้าน  เหนือช่องหน้าต่างขึ้นไปแบ่งเป็นแถว ๆ วาดภาพเทพชุมนุม เหนือขึ้นไปเป็นภาพฤาษีหรือนักสิทธิ์เหาะลอยอยู่ในอากาศเสมือนมานมัสการพระพุทธรูปที่เป็นประธานของอุโบสถ หรือพระที่นั่ง  การจัดวางภาพลักษณะนี้ปรากฎที่ผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรค์  (2) ผนังช่องหน้าต่างวาดภาพเกี่ยวกับทศชาติชาดกได้แก่เตมิยราชชาดก  มหาชนกชาดก  สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภุริทัตชาดก จันทกุมารชาดก (3) การวางตำแหน่งภาพไม่เป็นระบบระเบียบตายตัวเหมือนสองแบบแรก แต่จะวาดตามผนังทั้งสี่ด้านและด้านเสาเป็นเรื่องต่างๆกันไปจนเต็มผนังเช่นผนังวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวนาราม  

               กรุงรัตนโกสินทร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2325 นับจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 200 กว่าปีแล้ว ผลงานจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจิตรกรรมอยุธยาคือการเขียนภาพลายรดน้ำซึ่งใช้สำหรับตกแต่งบานประตู หน้าต่างในวัดวาอาราม มีการสร้างสรรค์อย่างแพร่หลาย ในสมัยนี้ แต่คุณค่าทางด้านฝีมือยังด้อยกว่าสมัยอยุธยา ในเรื่องความรู้สึกพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวา 
               นอกจากนี้ งานประดับมุขก็เป็นงานประณีตศิลป์ ที่ได้รับอิทธิพลตกทอดมาจากสมัยอยุธยา เช่นเดียวกัน และฝีมือประณีตไม่แพ้กัน ซึ่งสามารถหาดูได้ที่บานประตูโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท 
               ทางด้านงานจิตรกรรมฝาผนังได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจากสมัยอยุธยา จนถึงสมัย     รัตนโกสินทร์ มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังกันมาก และมีการพัฒนาฝีมือถึงขั้นเรียกว่า เจริญสูงสุด (Classic) งานจิตรกรรมไทยที่รักษารูปแบบ และสีสันเป็นภาพสองมิติ และแสดงฝีมือการตัดเส้นที่งดงามแบบดั้งเดิมที่เรียกกันว่า “จิตรกรรมไทยประเพณี” ช่างเขียนฝีมือชั้นครูในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 คือ “พระอาจารย์นาค” ได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยประเพณีไว้มากมาย ในปัจจุบันนี้หาดูได้ที่หอไตรของวัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร และยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังของช่างเขียนแบบไทยประเพณีอีกหลายแห่ง เช่น ที่วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร วัดสุวรรณารามวรวิหาร วัดสระเกศาราชวรมหาวิหาร วัดทองธรรมชาติวรวิหาร และพระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นต้น 

 

              นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงโปรดให้จัดทำ “สมุดไทย” ซึ่งเป็นการเขียนภาพจิตรกรรมกระดาษสมุดไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ คือ สมุดไทยของวัดบางขนุน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นภาพวาดตำราเจ็ดคัมภีร์ และประกอบวรรณกรรมเรื่องพระมาลัย และทศชาติชาดก และโดยเฉพาะ “สมุดตำรารำ” ที่ใช้ฝีมือช่างจิตรกรรมไทย ถ่ายทอดท่ารำนาฏศิลป์ไทยอันงดงามเป็นมรดกตกทอดทางศิลปวัฒนธรรมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ จึงนับว่าศิลปะด้านทัศนศิลป์ไทย ได้บูรณาการเชื่อมโยงกับนาฏศิลป์ไทยมาช้านานแล้ว 
ขรัวอินโข่งกับผลงานจิตรกรรมไทยสามมิติ
               ในสมัยรัตนโกสินทร์นับเป็นยุคสมัยที่มีการปฏิรูปบ้านเมืองให้มีความเจริญทัดเทียมกับอารยประเทศ ประเทศไทยได้ติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าอย่างเป็นทางการกับกลุ่มประเทศตะวันตกมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านจิตรกรรมไทยจากศิลปะตะวันตกที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) มีการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยในรูปแบบผสมผสานกับศิลปะสากลแบบตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะช่างเขียนไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นคือ “ขรัวอินโข่ง” เป็นจิตรกรไทยคนแรกที่เขียนภาพจิตรกรรมไทยที่มีแสงเงาและความตื้นลึกแบบ 3 มิติ ซึ่งเป็นลักษณะเหมือนจริง และยังสะท้อนภาพชีวิตของชาวยุโรปอยู่งาน จิตรกรรมไทย นับว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในงานจิตรกรรมไทยอีกด้วย   ในสมัยรัชกาลที่สี่แนวคิดในการเขียนจิตรกรรมตามประเพณีได้เปลี่ยนไป โดยจิตรกรไม่นิยมวาดภาพตามประเพณีแต่หันมาวาดภาพที่เป็นปริศธรรมและวัฒนธรรมประเพณีแทนดังเช่นจิตรกรรมที่วัดบววรนิเวศวิหารโดยฝีมือการวาดของขรัวอินโข่ง
               ขรัวอินโข่งมีชื่อเดิมว่า “อิน” เป็นชาวเพชรบุรี เมื่อท่านบวชเป็นพระที่วัดราชบูรณะ กรุงเทพมหานคร และครองเพศบรรพชิตตลอดชีวิต ประชาชนจึงเรียกท่านจนติดปากว่า “ขรัวอินโข่ง” ซึ่งหมายถึง “พระภิกษุผู้สูงอายุ” หรือ “ภิกษุผู้ยิ่งใหญ่” ส่วนนามที่เรียกท่านเป็นทางการคือ “พระอาจารย์เดิม”ซึ่งท่านได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยรับใช้เบื้องยุคคลบาทของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มตั้งแต่พระองค์ยังทรงผนวช จวบจนเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นระยะเวลาอันยาวนาน

 


               ในระยะแรกขรัวอินโข่งยังเขียนภาพจิตรกรรมไทยเป็นแบบดั้งเดิม คือนิยมเขียนภาพเกี่ยวกับชาดก และพระพุทธศาสนาเป็นภาพแบบ 2 มิติ เช่น ภาพยักษ์ หน้าลิง ภาพวาดที่วัดมหาสมณาราม และหอราชกรมานุสรเป็นต้น 
                ต่อมาท่านได้ศึกษารูปแบบงานจิตรกรรมตะวันตกจากงานภาพพิมพ์ที่แพร่หลายในหมู่มิชชันนารี และภาพที่ส่งมาจำหน่ายในเมืองไทยในสมัยนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้พัฒนางานจิตรกรรมไทยเป็นภาพทิวทัศน์แบบตะวันตกโดยใช้ตัวละครและสถานที่แบบตะวันตก เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาสเป็นต้น
               งานจิตรกรรมไทยของขรัวอินโข่ง ถึงแม้จะนำเอาแบบอย่างวิธีการเขียนภาพจากตะวันตกมาใช้ แต่ก็ยังแสดงความเป็นอัจฉริยภาพของจิตรกรไทยที่สร้างจินตนาการจากความคิดและความเชื่อของไทยที่เป็นอยู่เดิม โดยเฉพาะปรัชญาทางพระพุทธศาสนา เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร และภาพนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ที่วัดมหาสมณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นงานชิ้นเดียวที่เขียนในจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของท่านเอง     
 

 

 

 

 
               วิยะดา ทองมิตร กล่าวถึงคุณค่าของผลงานของขรัวอินโข่งไว้ว่า "ขรัวอินโข่ง วาดภาพเหมือนจริง และด้วยวิธีวาดแบบทัศนียวิสัย 3 มิติ ทำให้ภาพเกิดความลึก การใช้สีแบบ monochrome ที่ประสานกลมกลืนกัน ทำให้ภาพของขรัวอินโข่งมีบรรยากาศที่ชวนฝัน ทำให้ผู้ดูเกิดจินตนาการฝันเฟื่องตามไปด้วยไม่ว่าจะเป็นภาพวาดรูปต้นไม้ในป่า รูปต้นไม้และโขดเขาที่เพิงผาทางด้านผนังทิศเหนือ ด้านล่างที่มณฑป พระพุทธบาทวัด พระงามนั้นถึงจะไม่มีรูปบุคคลปรากฏอยู่ด้วยเลย แต่ภาพทั้งสองนี้ก็แลดูสวยด้วยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรือภาพต้นสนที่เอนลู่ตามลมด้วยแรงพายุที่พัดอย่างแรงกล้านั้น ก็แลดูน่ากลัวสมจริงสมจังสัมพันธ์กับความน่ากลัวของภูตผีปีศาจที่มาขอส่วนบุญกับพระเจ้าพิมพิสาร
               ภาพวาดทุกภาพของขรัวอินโข่งแสดงให้เห็นถึงความประสานกลมกลืนของสีและบรรยากาศที่สลัว ๆ เสมือนกับทำให้ความคิดฝันที่ค่อนข้างเลือนลางนั้น ค่อย ๆ กระจ่างชัดในอารมณ์ รวมทั้งบรรยากาศที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ที่ร่มครึ้ม ทำให้จิตใจเกิดจินตนาการคล้อยไปตามภาพที่ได้เห็น…เมื่อวาดภาพชีวิตทางยุโรป ขรัวอินโข่งจึงพยายามสร้างอารมณ์และบรรยากาศเป็นประเทศเมืองหนาวโดยใช้วิธีแบบทึมๆ 


    

           ขรัวอินโข่งจึงเป็นจิตรกรรมที่เขียนจิตรกรรมที่ต่างไปจากจิตรกรรมตามแบบประเพณี  ภาพที่วาดขึ้นแม้จะมีวีแบบทึมๆแต่ก็ให้ความงามในอีกรูปแบบหนึ่ง ศิลปะแบบเดิมเสื่อมลง แต่กลับได้สร้างศิลปะแบบใหม่ขึ้นดังที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีได้ให้ทัศนะไว้ว่า  “หลังจากต้นพุทธศตวรรษที่ 25 แล้ว จิตรกรรมฝาผนังไทยซึ่งเขียนขึ้นตามแบบดั้งเดิมก็เสื่อมลง จะคัดลอกกันไปตามตัวอย่างภาพที่สวยงามที่มีอยู่แต่ก่อน โดยผู้คัดลอกไม่มีความเข้าใจในความงาม รูปที่เขียนซ้ำแบบกันต่อๆมาก็ไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน ศิลปะตะวันตกก็ได้แพร่เข้ามาในประเทศไทย และทุกคนก็ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกๆนี้ เพราะเป็นของใหม่ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ว่าช่างเขียนก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบตะวันตก ซึ่งค่อนข้างแข็งกระด้างและมีลักษณะคล้ายภาพถ่ายมากกว่าภาพเขียน ด้วยความปรารถนาที่จะฟื้นฟูจิตรกรรมของไทย และเพื่อจะดัดแปลงให้เป็นของทันสมัย ช่างของเราจึงพยายามที่จะเลียนแบบศิลปะตะวันตก โดยวาดภาพวัตถุทั้งหลายให้เป็นแบบสามมิติทั้งในแบบมีทัศนียวิสัย (perspective) และให้มีปริมาตร (volume) แต่เนื่องจากภาพเขียนของไทยเป็นแบบสองมิติ (คือแบนราบ) และมีทัศนียวิสัยเป็นแบบเส้นขนานกัน (ซึ่งมิใช่แบบวิทยาการ) เพราะฉะนั้นเมื่อช่างเขียนยอมรับเอาคติทางตะวันตกมาใช้ ภาพเขียนของเราก็เลยสูญเสียลักษณะพิเศษโดยเฉพาะของตนเองกลายเป็นศิลปะครึ่งชาติไป ณ ที่นี้เห็นควรกล่าวไว้ด้วยว่า ภาพเขียนแบบดั้งเดิมของไทยนั้นเหมาะดีสำหรับใช้เขียนจิตรกรรม ฝาผนัง แต่แบบของตะวันตกนั้นเหมาะที่จะใช้เป็นภาพเขียนบนผืนผ้าใบ (ศิลป์ พีระศรี,ศิลปวิชาการ “วิวัฒนากาแห่งจิตรกรรมฝาผนังไทย”, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี,2546,หน้า 221) 


               จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดบรมนิวาสเป็นจิตรกรรมสมจริงแนวตะวันตกที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในกระแสใหม่ (สันติ  เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทย สมัยรัชการที่สาม: ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,2548,หน้า 201)

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก