ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

       เย็นวันหนึ่งก่อนเข้าห้องเรียนบาลีตามปรกติ ประธานสามเณรเข้ามาหาและขออนุญาตพาสามเณรไปทัศนะศึกษาที่จังหวัดชลบุรี ผู้ที่จะอนุญาตเป็นด่านแรกคือครูใหญ่ซึ่งจะต้องเห็นชอบโครงการ ก่อนที่ประธานสามเณรจะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากเจ้าอาวาส หากครูใหญ่ไม่เห็นด้วยทุกอย่างก็เริ่มต้นไม่ได้ ขณะนั้นกำลังสอนหนังสืออยู่จึงบอกประธานสามเณรไปว่า “ไปเขียนโครงการมา พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” จากนั้นก็สอนหนังสือต่อไปตามปรกติจนเลิก
 

       พอถึงเวลาเย็นในวันต่อมา ประธานสามเณรไม่ได้มารูปเดียว แต่พาสามเณรอีกหลายรูปมาพบด้วย เมื่อประธานสามเณรเสนอโครงการ ในขณะที่กำลังอ่านอยู่นั้น กำลังชั่งน้ำหนักว่าควรไปหรือไม่ควรไปดี สามเณรติ๊กก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ครับผมอยากไปทะเล เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นทะเลเลยครับ อนุญาตให้พวกผมไปเถอะครับ ผมรับรองความปลอดภัย จะไม่ทำอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหายเด็ดขาด” ปรกติสามเณรติ๊กไม่ค่อยพูด ส่วนมากจะเอาแต่ยิ้ม แต่วันนั้นดูจากสีหน้าแล้วคงอยากไปทะเลจริงๆ

 

 

       จึงเสนอไปว่า “น่าจะไปเชียงใหม่ ไปแม่ฮ่องสอน ไปดูทุ่งบัวตอง ทำไมต้องไปทะเล”
       สามเณรติ๊กยืนยันหนักแน่นว่า“ไปทะเลดีกว่าครับ เพราะผมไม่เคยเห็นทะเล”
       ในขณะที่สามเณรบิวสนับสนุนว่า “ควรไปทะเลดีกว่า เพราะสามเณรติ๊กไม่เคยเห็นทะเลครับ” โยนภาระไปให้สามเณรติ๊กดื้อๆ ซะยังงั้น
       สามเณรติ๊กและสามเณรบิวเป็นนักเรียนสังกัดวัดมัชฌันติการาม เรียนนักธรรม บาลี ปริยัติสามัญและสอบได้นักธรรมชั้นตรีทั้งคู่ ซึ่งในช่วงที่เรียนเรียนควบคู่ไปกับพระนวกะหรือพระบวชใหม่นั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นสองห้อง ทำกติกาไว้ก่อนว่าหากนักเรียนห้องไหนสอบได้น้อยกว่าจะต้องเป็นเจ้าภาพถวายอาหารเพลหนึ่งมื้อ หรือไม่ก็จะพาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่อยากไป แต่ต้องเป็นการเดินทางเช้าไปเย็นกลับ พอผลสอบนักธรรมชั้นตรีออกมาปรากฏว่าสามเณรชนะพระนวกะซึ่งส่วนมากเป็นพระที่อายุมากแล้วบวชตอนแก่ จึงเรียนหนังสือสู้สามเณรอายุ 12-16 ปีไม่ได้

 

 

       สามเณรติ๊กอายุ 13 ปี บ้านเดิมอยู่จังหวัดศีรษะเกษ จบชั้นประถมปีที่หกตามเกณฑ์แล้วก็บรรพชาและย้ายมาเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนวชิรมกุฏ เรียนนักธรรมชั้นตรีและบาลีไวยากรณ์ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดมัชฌันติการาม สรุปว่าในวันหนึ่งต้องเรียนหนังสือสามรอบ เช้าเรียนนักธรรม บ่ายเรียนมัธยมและตอนเย็นเรียนบาลีไวยากรณ์ ได้หยุดวันพระและวันอาทิตย์ งานหนักและเหนื่อยไม่เบาสำหรับสามเณรอายุ 13 ปี
       ส่วนสามเณรบิวเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิดบวชที่วัดมัชฌันติการามและเรียนหนังสือเหมือนกับสามเณรติ๊กทั้งสองรูปอายุเท่ากันเรียนหนังสือห้องเดียวกัน เณรบิวมีประสบการณ์มากกว่าจึงมีเรื่องเล่าและเรื่องคุยมากกว่าสามเณรที่เป็นคนบ้านนอกจึงคุยสู้ไม่ได้ อาจจะมีบางตอนของคำสนทนาที่กล่าวถึงทะเล กระตุ้นความอยากรู้ของเณรติ๊กเข้า ทำให้อยากไปดูทะเลสักครั้งในชีวิต สามเณรทั้งสองรูปเรียนหนังสือเก่งทั้งคู่

 

 

       เมื่อบอกว่าไหนลองให้เหตุผลที่อยากไปทะเลซิว่า “ทำไมจึงอยากไปทะเล” สามเณรติ๊กแถลงว่า “ผมเรียนจากหนังสือเขาบอกว่าในโลกเรานี้มีน้ำทะเลมากกว่าพื้นดิน และน้ำทะเลมีรสเค็ม แต่น้ำที่ผมเห็นไม่เคยมีน้ำที่ไหนเค็มเลยครับนอกจากน้ำเกลือ น้ำเค็มมันจะมีมากกว่าน้ำจืดได้ยังไงครับ ผมอยากไปเห็นด้วยตาตนเอง อีกอย่างผมอยากอาบน้ำทะเลครับ”
       แต่พอหันไปทางสามเณรบิว กลับอธิบายสั้นว่า “อาจารย์ไม่ได้ดูโฆษณาทางโทรทัศน์หรือครับ “ชีวิตเป็นของเรา ใช้ซะ” เพราะอย่างนั้นผมจึงขอสนับสนุนสามเณรติ๊กว่าเราควรไปเที่ยวทะเลครับ

 


       การไปทัศนะศึกษาของคณะสามเณรนั้น ทุกอย่างมอบหมายให้คณะสามเณรเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ครูใหญ่เพียงแต่นั่งไปในรถด้วย ไม่พูดไม่จา ทำหน้าที่ถ่ายภาพตามที่อยากถ่าย ไม่ถ่ายภาพตามใจใคร แต่ถ่ายภาพทะเลตามใจตัวเอง ด้วยประสิทธิภาพของกล้องราคาพอประมาณเท่าที่มีอยู่และถ่ายในสภาพทัศนวิสัยไม่ค่อยเอื้อเท่าไหร่่ แดดมันแรงและกล้าเกินไป จึงได้ภาพออกมาอย่างที่เห็น การถ่ายภาพทะเลในช่วงที่หาดทรายริมทะเลมีนักท่องเที่ยวน้อยมากหรืออาจจะเรียกว่าแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย เห็นมีเพียงฝรั่งสองสามคนเดินเล่นริมหาด ดังนั้นสามเณรจึงได้อาบน้ำทะเลอย่างปลอดภัย ไม่มีใครถ่ายภาพไปเผยแผ่ที่ไหน ผู้ที่ถ่ายภาพมากที่สุดกลับกลายเป็นอาจารย์ใหญ่เอง

 

 

       ก่อนกลับถามสามเณรติ๊กว่า “น้ำทะเลมีรสอย่างไร” สามเณรติ๊กรีบตอนทันทีว่า “เค็มครับ” ในขณะนั้นมีใครบางคนบอกว่า “เขาว่าน้ำทะเลถ้าใส่ขวดนำไปด้วยและเก็บที่กรุงเทพฯสักหนึ่งหรือสองอาทิตย์ รสเค็มจะหายไป จะมีรสหวานแทน” ขณะนั้นเห็นสามเณรติ๊กและสามเณรบิวยืนฟังอยู่ใกล้ๆและเห็นรอยยิ้มที่เกรียมแดดเพราะเล่นน้ำทะเลมาจนเพียงพอแล้วนั่นเอง แต่ตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่าเณรติ๊กและเณรบิวคงได้อาบน้ำทะเลจนพอกับความต้องการแล้ว
       วันนั้นไปทัศนะศึกษาหลายที่ ไปชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวอีกแห่ง ไปเที่ยวตลาดเพื่อดูอาหารทะเล จนกระทั่งกลับถึงวัดโดยปลอดภัย พอรถจอดสนิททุกคนก็รีบเก็บข้าวของเพื่อกลับกุฏิที่พัก ครูใหญ่แม้จะลงรถรูปแรกแต่ก็ยืนดูอยู่ห่างๆจนกระทั่งสามเณรทุกรูปกลับกันหมดแล้ว คนขับบอกลา รถกำลังจะเคลื่อนออกจากที่ ขณะนั้นเห็นสามเณรรูปหนึ่เดินกลับมาด้วยความรีบร้อน พลางบอกคนขับว่าให้รอสักพักเพราะลืมของอะไรบางอย่าง  สามเณรเดินขึ้นรถและถือขวดน้ำมาด้วย บังเอิญเดินผ่านหน้าครูใหญ่พอดีจึงทักว่า “เณรลืมอะไร”


       สามเณรรูปนั้นสะดุ้งรีบเก็บขวดบรรจุน้ำทะเลเก็บซ่อนไว้ข้างหลัง ก่อนจะหัวเราะเขินๆและตอบอ้อมแอ้มว่า “ขวดน้ำทะเลครับ ผมสงสัยว่าเมื่อน้ำทะเลมาอยู่กรุงเทพฯแล้วมันจะกลายเป็นน้ำจืดจริงหรือ” ตอนนั้นมันมืดเลยดูไม่ออกว่าเป็นสามเณรรูปใด
 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
ครูใหญ่สำนักศาสนศึกษาวัดมัชฌันติการาม
07/12/53

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก