การต่อสู้แทบทุกอย่างจะต้องมีอาวุธ นักมวยไทยต่อยกันสามารถใช้อาวุธในร่างกายเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก ใครออกอาวุธได้ชัดเจนกว่า ทำคู่ต้อสู้ได้มากว่าย่อมได้รับชัยชนะ คนเสื้อแดงสู้กับรัฐบาลนอกจากจะใช้วาทะเชือดเฉือนโจมตีกันแล้ว ยังมีอาวุธอย่างอื่นมากมายเช่นหนังสติก บั้งไฟ ลูกโป่งลอยฟ้าใช้สู่กับปืนและเครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลเป็นต้น เหมือนกำลังดูหนัง "อวตาร" อยู่ดีๆ พลันก็มี "คนไฟบิน"โผล่แทรกเข้ามาประมาณนั้น
ในโลกนี้มีการต่อสู้มากมายให้เห็น แต่การต่อสู้กับศัตรูทางธรรมะนั้น ท่านได้แบ่งศัตรูออกเป็นสองประเภทคือศัตรูภายในและศัตรูภายนอก ศัตรูภายในได้แก่กิเลสที่คอยก่อกวนความสงบสุขของจิตใจทำให้เร่าร้อนอยู่เสมอ กิเลสเมื่อเกิดขึ้นในจิตของผู้ใดแล้วเป็นสิ่งที่ขจัดได้ยากดังที่พระพุทธเจ้าแสดงถึงสิ่งที่ขจัดได้ยากไว้ในพระวินัยปิฎก ปริวาร (8/979/309) ความว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วบรรเทาได้ยากมีห้าประการคือ ราคะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก โทสะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก โมหะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ปฏิภาณบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก จิตที่คิดจะไปบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก"
ศัตรูภายนอกหมายถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่มาพร้อมกับการเกิด ศัตรูเหล่านี้คอยขัดขวางการทำความดี บางคนคิดว่าจะเริ่มต้นทำความดีแต่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยเป็นต้นเป็นเหมือนมารที่คอยขัดขวางการทำความดี ศัตรูภายในก็ยากจะต่อสู้ ยังมีศัตรูภายนอกคอยก่อกวนอีก เกิดเป็นมนุษย์นี่ยุ่งยากจริงๆ แต่การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก หากเรารู้จักทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับศัตรูทั้งสองนี้แล้ว ก็จะทำให้ดำเนินชีวิตไปอย่างเข้าใจสภาวธรรมตามความเป็นจริง
อาวุธที่ใช้สู้กับกิเลสท่านแสดงไว้สามประการ ดังที่ปรากฎในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค(11/228/171)ความว่า "อาวุธมีสามอย่างคือสุตาวุธ อาวุธคือการฟัง ปวิเวกาวุธ อาวุธคือความสงัด ปัญญาวุธ อาวุธคือปัญญา” ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงควรหาอาวุธไว้เป็นเครื่องต่อสู้กับกิเลส ต้องฟังให้เป็น พยายามทำใจสงบให้ได้บ้างในบางโอกาส ใช้ปัญญาพิจารณาตามสิ่งที่มันเป็น อาจสรุปได้สั้นๆว่า “ฟังให้หมด จดให้มาก ปากต้องไว ใจต้องคิด” คือการใช้อาวุธ ในทางพระพุทธศาสนา
คนส่วนหนึ่งแม้จะรู้ว่ากำลังสู้กับศัตรูทั้งกิเลสและความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่ก็ตาม แต่ไม่สนใจแสวงหาอาวุธไว้ต่อสู้เลย หรือมีอาวุธแต่ใช้ผิดประเภท โบราณาจารย์จึงผูกเป็นคติธรรมไว้ว่า "สู้ไพรีไม่มีอาวุธ" แล้วจะชนะได้อย่างไร
ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ ในที่นี้หมายถึงการหยุดในการทำชั่วซึ่งมีอยู่สามทางคือการทำชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ ครั้งหนึ่งองคลีมาลถือดาบวิ่งตามพระพุทธเจ้าเพื่อหวังจะสังหารให้ตาย พอวิ่งไปสักพักก็ไม่ทัน อคุลิมาลจึงร้องบอกมา “สมณะท่านหยุดเถิด” พระพุทธเจ้าจึงหันกลับมาบอกว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” คำว่า “หยุด” ของพระพุทธเจ้าหมายถึงหยุดในการทำบาป แต่องคุลิมาลหมายถึงหยุดวิ่งหยุดเดินหนี ในที่สุดองคุลิมาลได้สติเพราะเป็นคนมีปัญญาเป็นอาวุธด้วยการสั่งสมบ่มบารมีมาหลายร้อยชาติ วางอาวุธภายนอกคือดาบ กลับมาใช้อาวุธภายในคือปัญญา ในที่สุดก็ได้บรรลุคุณวิเศษกลายเป็นพุทธสาวกที่สำคัญรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
คำว่า “พระ” ในที่นี่หมายถึงพระพุทธศาสนาซึ่งมีจุดหมายสูงสุดคือนิพพานการดับทุกข์ ผู้ที่จะเข้าถึงนิพพานได้ก็จะต้องหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ ผู้ที่เข้าถึงความสงบสุขได้อย่างแท้จริงก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงพระพุทธศาสนา หยุดเมื่อใดเมื่อนั้นก็ถึงพระ ละจึงถึงธรรม
ดังนั้นการจะต่อสู้กับกิเลสต้องหาอาวุธคือการฟังซึ่งรวมถึงการอ่านการศึกษาค้นคว้า จากนั้นใช้ความสงัดเพื่อบำเพ็ญสมาธิให้แน่วแน่ สุดท้ายก็ใช้ปัญญาในการทำลายกิเลสให้เบาบางไปได้ หากยังไม่หมดไปในชาตินี้ก็ยังได้ชื่อว่าสร้างบารมีธรรมไว้ในอนาคต ที่สำคัญต้องหยุดทำความชั่ว เพราะถ้ายังทำชั่วอยู่กิเลสก็จะยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ท่านสรุปไว้สั้นๆเป็นคติธรรมประจำใจว่า “เพียรพยายามฆ่ากิเลส ไม่สร้างเหตุแห่งปัญหา”ในที่สุดก็จะเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือการดับทุกข์ แต่สำหรับคนทั่วไปพอให้ความเร่าร้อนบรรเทาเบาบางลงก็ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
27/04/53